แสงแดดส่องลอดช่องหน้าต่างของเต็นท์เข้ามา แยงตาจนผมตื่น เมื่อคืนผมคงมัวแต่คิดอะไรหลายอย่าง เลยนอนจนสายป่านนี้ ทั้งเรื่องที่พิ้งค์พูดกับผม เรื่องของน้าเบิร์ด สิ่งที่ผมจะเลือกต่อจากนี้ รวมไปถึง อเล็กซ์ จูเนียร์ และน้ากี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไงกันบ้าง

ผมเปิดเต็นท์ออกมา กำลังมองหาว่ามีใครตื่นหรือยัง พอดีกับที่น้าเบิร์ดเดินกลับมาจากทางป่าพร้อมผลกูปูวาซู 5 ลูก

“กินก่อนสิ จะได้สดชื่น” เขาโยนกูปูวาซูมาให้ผมลูกหนึ่ง กลิ่นหอมของมันฟุ้งมาแต่ไกล บางคนก็บอกว่ากลิ่นของมันคล้ายกับช็อคโกแลตผสมกับสับปะรด บ้างก็อาจว่าเหมือนเมลอน ส่วนตัวผมที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องกลิ่นหรือรสชาติของผลไม้นัก ขอลงความเห็นเพียงว่ามันเป็นของกินที่หอมหวานที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่จะหากินได้ในป่าแอมะซอน

ผมผ่ามันกินพลางคิดว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้วนับตั้งแต่ผมแยกกับเพื่อน ๆ มา ป่านนี้อเล็กซ์จะพาจูเนียร์กลับไปที่ฐานหรือยังนะ

“กำลังคิดถึงเพื่อน ๆ อยู่สินะ” น้าเบิร์ดถามขึ้น ทำเอาผมแปลกใจที่เขาอ่านความคิดของผมได้ง่ายดายเหมือนเราไม่เคยห่างกันไปไหนตลอด 10 ปี “ใช่น้า ผมไม่รู้เลยว่าพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง” เขายิ้มให้ผมและลุกจากท่อนไม้ฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างผม “เพื่อน ๆ ของแกเอาตัวรอดเก่งไม่แพ้กับแกนั่นแหละ แถมยังกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องหัวใจเหมือนกับเราด้วย”

“น้ารู้ได้ไง” ผมยิ่งแปลกใจขึ้นไปอีก ที่เขารู้เรื่องของไอ้พวกนั้นด้วย น้าเบิร์ดตอบ “อย่างที่เล่าไป น้าคอยตามดูพวกแกมาตลอด น้าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน่วย 404 แล้วก็ตามไปจนเจอเพื่อนของอาร์ม น้าเห็นกับตาตัวเองว่าพวกนั้นหนีออกมาอย่างปลอดภัย และได้ยินเรื่องที่พวกนั้นตั้งใจจะตามไปขวางเหล่าฮีโร่ ไม่ให้เข้าถึงกระเป๋านั่นด้วย น้าเลยออกจากที่ซ่อนเพื่อมาพาแกไปเจอกับเพื่อน ๆ ยังไงล่ะ” 

“แล้วน้าคิดยังไงกับเรื่องที่คนพวกนั้นพูดครับ น้าคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำมันผิดจริง ๆ เหรอ” ผมถาม น้าเบิร์ดเป็นคนที่ผมเคารพและศรัทธามากที่สุด ผมเลยอยากรู้มากว่าคิดยังไงกับเรื่องนี้

“แกอาจจะมองว่ามันไม่ผิด เพราะแกอยู่ในสังคมที่ทำมันเป็นเรื่องปกติมานาน ลูกกระจ๊อกและเหล่าวายร้ายในองค์กรแบบเราทุกคนถูกสอนมาด้วยข้อมูลแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้น ต่อให้คนพวกนั้นพูดอะไร แกก็ยังเชื่อในความคิดของตัวเองถูกไหมล่ะ” น้าเบิร์ดมองตาผม หรือเขาอาจกำลังมองทะลุเข้าไปข้างในหัวผม 

“สิ่งที่พวกเขาพูด มันคือมุมมองจากคนที่โตมาในอีกสังคมหนึ่ง มีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเรา” ผมแทรกเขา “มีโอกาสและทางเลือกมากกว่าเรา” น้าหัวเราะ “นั่นก็ไม่จริงเสียทีเดียวไอ้หลานชาย”

เขาตบเข่าผมเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผลกูปูวาซูมาอีกลูก แล้วปอกกินหน้าตาเฉย ผมอยากจะทักว่าแกไม่ได้เอามาพอดีจำนวนคนหรอกหรอ แต่เห็นแกจ้วงกินเรียบร้อยก็เลยปล่อยเลยตามเลย “ที่จริงแกมีสิทธิ์เลือก จนถึงวินาทีนี้ ที่แกเป็นลูกกระจ๊อกมาเป็นสิบปี แกก็ยังเลือกได้ แกเลือกที่จะเชื่อน้า แล้วเลิกเป็นลูกกระจ๊อกก่อนที่จะโดนฮีโร่หรือพวกตัวเองฆ่าตายได้”

ผมต่อประโยคของแก “แต่ผมก็เลือกจะไม่เชื่อน้าได้เหมือนกัน เพราะต่อให้เรื่องของน้าจะจบไม่สวย ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะลงเอยแบบนั้น” น้าเบิร์ดตอบ “ถ้าแกเลือกจะเป็นลูกกระจ๊อกไปวัน ๆ ทำในสิ่งเดิม ๆ ที่ไม่มีใครจดจำไปจนวันตาย” ผมยังเถียงต่อ “ตายก็ไม่รู้อะไรแล้ว เราจะเอาการถูกจดจำไปทำไมอะน้า”

“เมื่อเรายืนอยู่คนละจุด มองกันคนละด้าน บางทีแกก็ไม่มีทางจะเข้าใจหรอก นอกจากจะลองมายืนอยู่ตรงกลางแล้วพิจารณาทั้งสองด้านด้วยตัวเอง” น้าเบิร์ดตอบ

“แล้วถ้าผมสามารถไปอยู่ตรงกลางแบบที่น้าว่าได้ ผมจะมองว่าสิ่งที่ทำมาตลอดมันผิดไหมครับ” ผมถาม

“เมื่อมองทั้งสองด้านแล้ว แกจะเลือกเข้าใจหรือยอมรับด้านไหนมากกว่ากัน ก็เป็นเรื่องของแก หรือแกอาจจะเลือก
ที่จะไม่ตัดสินมันเลยก็ได้” น้าเบิร์ดเลือกที่จะสรุปแบบไม่สรุป ทำเอาผมงงกว่าเดิม

“เลือกเหมือนเดิมก็ได้ ไม่ตัดสินก็ได้ แล้วทำไมน้าต้องพยายามขนาดนั้นเพื่อให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผมด้วย” ครั้งนี้ เขาไม่มีคำตอบให้ผมแม้แต่คำเดียว มีแต่รอยยิ้ม

ตอนนั้นเอง พิ้งค์ที่ผมคิดว่ายังไม่ตื่น กลับวิ่งมาจากทางแม่น้ำ เธอตะโกนบางอย่างมาแต่ไกล “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!”  หน้าของเธอดูถอดสีจนผมกลัวตาม

_______________________________________

“กี้กี้ก..เอื้อ!” 

“กิ…แอ่ก!” 

“กิ๊” “ก…”

“ก….อ๊าก….คร่อก“

“ว่ายังไงไอ้พวกกระจอก! ยังอยากจะร้องอะไรกันอีกมั้ย เข้ามาสิวะ!!!” โดมินิกไล่อัดเหล่าสมุนและลูกกระจ๊อกของหน่วยเครื่องในจนกระจัดกระจาย ล้มระเนระนาดไปหมด พวกเขากำลังเข้าใกล้เป้าหมายเต็มที่แล้ว เกรซที่สู้อยู่อีกด้านตะโกนคุยกันกลางสนามรบด้วยความหงุดหงิด “ทำไมไอ้พวกนี้มันไม่รู้จักหมดสักทีนะ แถมยังทำเสียงงี่เง่าน่ารำคาญชะมัด ใช้ระเบิดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีมั้ยเนี่ย” ก่อนจะกระแทกปืนไรเฟิลคู่กายของเธอกลางแสกหน้าลูกกระจ๊อกที่พยายามจะวิ่งเข้ามาจับขาเธอร่วงลงไปนอนกับพื้น

โดมินิกสอยหมัดอัปเปอร์คัทกวาดลูกกระจ๊อกสองคนสุดท้ายที่พยายามเข้ามาล็อคเขาไว้กระเด็นไปเช่นกันก่อนจะหันมาตอบ “ใจเย็นน่าเกรซ ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ หัวร้อนแบบนี้” เกรซยังไม่มีทีท่าจะใจเย็นลง “ดอม เราเสียเวลามามากแล้วนะ นายก็รู้ว่าของในกระเป๋านั่นมีมูลค่าขนาดไหน พวกรัฐบาลถึงขนาดยอมที่จะให้ทั้งเงินที่มากขนาดนั้น และยังจะยกคนที่เอามันกลับไปได้ให้เป็นฮีโร่ประจำเมือง งานนี้ถ้าเราพลาด เราก็จะอดได้ทุกอย่างที่เราต้องการ” โดมินิกคิดตาม “อืม มันนก็จริงนะ แต่เธอคิดว่ายังจะมีใครแซงเราไปได้อีกหรอ เราทั้งสอยไอ้เห็บเหาพวกนี้ไปเป็นโขยง แถมยังมีทีมที่คอยดักขวางฮีโร่กลุ่มอื่นไว้ตลอดทาง ไม่มีใครตามทันหรอกน่า”

เกรซเท้าด้ามปืนกับพื้นเพื่อพักขาก่อนตอบ​ ”คนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ฉันว่ายัยเด็กสองคนนั่นที่มากับคนที่เคยถือกระเป๋าน่ะ มันอาจจะถูกปล่อยให้ผ่านเข้ามาก็ได้” โดมินิกหัวเราะเสียงดัง “เธอจะไปกลัวพวกเด็กฝึกหัดแบบนั้นทำไม พวกนั้นน่ะ เจอรุมสักสิบคนยังไม่รู้จะผ่านมาได้มั้ยเลย ไหนจะไอ้ลูกกระจ๊อกที่มันช่วยไว้อีก รวมพลคนห่วยชัด ๆ”

แล้วก็มีเสียงลอยขึ้นมาจากด้านหลังของโดมินิก “แล้วถ้าลูกกระจ๊อกสักร้อยคน พวกแกสองคนยังจะไหวอยู่ไหม” ทั้งสองคนหันไปเจอกองทัพลูกกระจ๊อกนับร้อยชีวิตตามเสียงนั้น โดยมีน้ากี้ค่อย ๆ เดินขึ้นมายืนอยู่หน้าสุด

“แก…ยังไม่ตายงั้นหรอ” เกรซเตะปืนจากพื้นขึ้นมากระชับสองมือ น้ากี้จ้องตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน เหวี่ยงแขนยืดเส้น หักข้อนิ้วของตัวเองดังกร๊อบแกร๊บ “เวลาตีงูแล้วมันไม่ตายเนี่ย มันจะยิ่งโมโหเอานะ พวกเรา! ลุย!!!” เหล่าลูกกระจ๊อกกรูกันเข้าไปรุมเกรซและโดมินิกทันที

_______________________________________

“อ..โอยยย” ชอว์นรู้สึกตัวขึ้นและพบว่าเขากำลังนอนอยู่บนพื้นที่เปียกชื้น ภาพที่พร่ามัวค่อย ๆ สว่างและมีสีสันขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัดอยู่ดี เขาคิดจะควานหาแว่นตาที่ควรจะอยู่ไม่ไกลจากตัวเขา แต่เมื่อพยายามพลิกตัวก็ได้รู้ว่าร่างกายเต็มไปด้วยความปวดร้าวและบอบช้ำ แถมแขนข้างหนึ่งก็ยังผูกติดกับโขดหินอยู่

ใช่.. เมื่อคืนฉันถูกทำร้าย และนอนสลบอยู่ริมแม่น้ำ.. ยีนส์.. ฉันต้องไปบอกทุกคืนเรื่องยีนส์ 

“ชอว์น! เป็นยังไงบ้าง” ผมเข้าไปพยุงตัวชอว์นขึ้น พิ้งค์ที่วิ่งมาถึงไล่เลี่ยกับผมเข้ามาช่วยพยุงหิ้วปีกอีกข้าง สำรวจบาดแผล และเช็คว่าชอว์นยังมีสติรู้ตัวอยู่หรือเปล่า

“คุณเป็นยังไงบ้างชอว์น เกิดอะไรขึ้น แล้วยีนส์อยู่ที่ไหน” เธอรัวคำถามใส่เขาทันทีที่เห็นว่าเขาไม่ได้หลับ เขาตอบอย่างช้า ๆ  “เมื่อคืนผมออกมานั่งเล่นที่นี่ แล้วก็มีวายร้ายจะเข้ามาจับตัวผม มันมากันหลายคน ผมพยายามสู้แล้วแต่ไม่ไหว ยีนส์พยายามจะช่วยผมไว้ เลยโดนพวกมันจับไปแทน ส่วนผมก็…” ผมรีบตัดบทให้ “นายก็คงโดนตีหัวมาแหละ พอจะเห็นอยู่” เพราะท่าทางชอว์นบาดเจ็บจนดูยากแม้แต่จะอ้าปากพูดอะไรออกมาสักคำ

น้าเบิร์ดกลับมาพร้อมกับกล้องส่องทางไกลในมือ เราตกลงที่จะแยกกันก่อนหน้านี้ ผมรีบตามพิ้งค์ไปช่วยพาชอว์นกลับ
มายังที่พัก ส่วนน้าออกไปสำรวจว่ามีร่องรอยของยีนส์หรือพวกอื่น ๆ อยู่แถวนี้อีกหรือไม่ “พวกมันน่าจะกลับไปที่ห้องหัวใจกันหมดแล้ว” พิ้งค์รีบลุกขึ้นยืน “ฉันต้องไปช่วยยีนส์”

ผมคว้าแขนเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าป่าหายไปอีกคน “เดี๋ยวก่อน” เธอหันมาด้วยท่าทางโมโหสุดขีด “อะไรเล่า! ฉันจะไปช่วยยีนส์” ผมเลยต้องเตือนสติเธอ “ทางเข้าไปที่ห้องหัวใจไม่ใช่จะเข้าไปได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าพวกนั้นจับตัวยีนส์ไป ก็แปลว่าบอสอาจต้องการให้พวกคุณไปที่นั่น และมันจะต้องมีกับดักรออยู่แน่ ๆ เราควรวางแผนให้ดีก่อน” 

น้าเบิร์ดเสนอ “จุดลักลอบที่เข้าไปได้ง่ายที่สุดคือช่องส่งเสบียง การป้องกันจะไม่แน่นหนามากนัก ฉันจะล่อกำลังเสริมพวกมันไปทางอื่น แล้วพวกเธอเข้าไปทางนั้นเถอะ” ผมเห็นด้วย “ถ้างั้นน้าเบิร์ดกับชอว์นแยกไปอีกทางเพื่อล่อให้มันกระจายกำลังกัน ส่วนผมจะพาพิ้งค์เข้าไปเอง”

ชอว์นพูดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังกจากที่ผมหิ้วเขาขึ้นมา “ไม่ ฉันจะเข้าไปข้างในกับคุณพิ้งค์” ไอ้หมอนี่ พูดได้ประโยคแรกก็ยังจะมาห่วงเรื่องนี้อีกนะ “มันใช่เวลาติดหญิงไหมเนี่ย! นายสู้เป็นหรือไงกัน” แต่นายแว่นก็ยังดื้อไม่เลิก “ผมจะบอกพวกคุณทุกอย่างเกี่ยวกับกระเป๋า แต่พวกคุณต้องทำตามที่ผมบอก” พิ้งค์ถาม “ทำอะไรคะ”

ชอว์นลุกขึ้นยืนต่อหน้าสายตาทั้งสามคู่ที่จ้องมองอยู่ “พวกมันต้องการตัวผม ผมเป็นคนเดียวที่จะเปิดกระเป๋าใบนั้นได้ ถ้าเกิดเราสู้มันไม่ได้หรือมีอะไรผิดพลาด คุณต้องใช้ตัวผมเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยเพื่อนของคุณ”