ชอว์นยังเดินเกาะแกะพิ้งค์ไม่เลิก “ผมว่าเราสองคนเนี่ย คงจะถูกชะตากันจริง ๆ นะครับ ผมแทบไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ในเวลาแค่ไม่กี่วัน คุณก็ช่วยผมไว้ 2 ครั้งแล้ว หมือนกับว่าเรา…”

ยีนส์แทรกขึ้นก่อนชอว์นจะพูดอะไรออกมา แล้วทำให้เธอหมั่นไส้มากไปกว่านี้ “อันที่จริง ในเมื่อพวกฉันช่วยนายไว้ขนาดนี้ ก็น่าจะบอกกันได้แล้วนะ ว่าไอ้ของในกระเป๋าที่พวกเราลำบากบุกป่าฝ่าดงเข้าแอมะซอนมาตามหาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่” 

พิ้งค์พยายามปรามเพื่อน “ยีนส์ ไม่เอาน่ะ การที่เขาไม่สามารถพูดได้ อาจจะเพราะมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเขามาก ๆ ก็ได้ เราต้องรู้จักเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสิ แล้วยังไงกระเป๋านั่นก็ไม่ใช่ของพวกโจรอยู่แล้ว แค่เราคืนความยุติธรรมให้กับเขาได้ ก็ถือว่าเราได้เป็นฮีโร่ที่แท้จริงอย่างที่อยากเป็นกันแล้วไม่ใช่หรอ” แต่ยีนส์ไม่ละความพยายาม “แล้วถ้านายนี่เป็นคนร้ายเหมือนกันล่ะ อาจจะเก็บของไว้ทำอะไรผิดกฎหมายก็ได้ คนดี ๆ ที่ไหนจะมีของอันตรายที่วายร้ายอยากได้อยู่กับตัว” 

ชอว์นเริ่มโวยวายบ้าง “ถึงของในนั้นมันจะสร้างความอันตรายได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเป็นคนเลวเสียหน่อย จริงมั้ยครับคุณพิ้งค์” ชอว์นเริ่มหาพวก 

“ไม่ได้เป็นคนเลวแล้วจะมีไว้เพื่อ นี่มันไม่บริสุทธิ์ใจสุด ๆ” ยีนส์เริ่มมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นรอบลำคอ

“หยุดดดดดดด! ฉันบอกให้หยุด! …ฮึบ! …อึ๊บ!!!” พิ้งค์สั่งอย่างเด็ดขาด แม้ว่าทั้งสองคนพยายามจะอ้าปากเถียงแต่ก็ต้องยอมแพ้ กลืนสิ่งที่เหลือลงคอกันไปหมด

“เลิกเถียงกันสักทีเถอะ ยังไงเราก็มาถึงนี่แล้ว ฉันจะไม่เสี่ยงอยู่เฉย ๆ รอดูเรื่องร้ายเกิดขึ้นหรอกนะ เธอก็เห็นแล้วว่าพวกที่ได้กระเป๋าไปมันเป็นคนน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเทียบกับชอว์น ไหนจะพวกฮีโร่ที่โหดจนดูไม่เป็นฮีโร่เมื่อกี๊อีก” ชอว์นแอบทำหน้าทะเล้นเยาะเย้ยก่อนจะรีบดึงหน้ากลับเป็นปกติเพราะพิ้งค์กำลังหันมาพูดกับเขาเช่นกัน

“ส่วนคุณ ถ้าสุดท้ายแล้วคุณไม่ใช่คนดีอย่างที่ยีนส์ว่า ถึงตอนนั้น ฉันจะเป็นคนโยนคุณลงน้ำให้ปิรันย่ากินเอง” ตอนนี้รอยยิ้มย้ายไปอยู่บนหน้าของยีนส์แทน “เราจะไปกันต่อได้รึยัง” พิ้งค์ถามแกมบังคับ

“ไม่ได้!!!” คราวนี้เป็นผมเองที่ได้พูดบ้างสักที หลังจากแอบฟังเรื่องที่คุยกันมาทั้งหมดอยู่นานสองนาน ตอนนี้ผมโดดออกมาขวางหน้าพวกมันเอาไว้ แต่เหมือนตอนโดดจะกะระยะผิดไปหน่อย จนจังหวะที่ยัยฮีโร่พิ้งค์หันมาใกล้ ปลายจมูกเธอเฉี่ยวกับปลายจมูกผมแทบจะชนกัน

“โอ๊ะ! นาย…” เธอร้อง ผมตกใจจนเสียหลักเล็กน้อย แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่ผมใจสั่นในตอนนี้หรอก ภาพที่อยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก มันทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้จนต้องหันกลับมาพูดกับตัวเองเบา ๆ “น..นี่มัน ซีนฉายเดี่ยวเลยหรอวะ ฮึ้ยย”

“หมอนั่นรู้ใช่มั้ยว่าเราได้ยินน่ะ ทำอย่างกับมีกล้อง 2 รับหน้าอยู่ข้างหลัง ท่าทางจะดูซิทคอมเยอะเหมือนกันนะ” ยัยคนชื่อยีนส์ที่ยืนกอดอกอยู่พูดจนผมรู้สึกตัว เลยหันกลับไปใหม่ คราวนี้ถึงผมจะยังแอบสั่นอยู่ข้างใน แต่ผมก็พยายามทำสายตาวายร้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พวกเธอน่ะ คิดว่าจะรอดไปได้ง่าย ๆ หรือไงกัน!”

“ตอบมันไปสิจ๊ะสาวน้อย” เสียงหนึ่งลอยมาแต่ไกล ก่อนโดมินิกและเกรซจะเดินแหวกต้นไม้เข้ามา ตามด้วยเหล่าผู้ติดตามของกลุ่ม เดอะ ก็อด “ว่าเธอสองคน กับไอ้หน้าจืดนี่ คิดว่าจะรอดไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึเปล่า” 

ยีนส์สวนไปทันที “นายพูดอะไรของนายน่ะ เราก็เป็นฮีโร่เหมือนกับพวกนายนะ” โดมินิกหัวเราะก๊าก เสียงดังยิ่งกว่าคราวก่อนที่ผมเจอขึ้นไปอีก “วะ​ ฮ่ะ ฮ่า ๆๆๆ แล้วยังไง แล้วฉันกับเธอ ต้องรวมพลังกันงั้นรึ อเวนเจอร์ส!!! อองซอมเบิ้ล!!! งั้นรึไง!?” 

ลูกน้องคนหนึ่งพยายามจะแก้ให้ว่าต้องเป็นแอสแซมเบิ้ล ต่างหาก แต่คำพูดนั้นก็ลอยไปกับอากาศเหมือนเสียงตัวประกอบในฉากหลังของหนังจีนที่ทีมพันธมิตรพากย์

เกรซก้าวออกมายืนข้างโดมินิก “ฟังนะยัยหนู กระเป๋านั่นมีใบเดียว และฮีโร่ที่คนจะจดจำว่าได้ช่วยโลกเอาไว้ ก็จะมีแค่ชื่อเดียว นั่นคือพวกเรา เดอะ ก็อด ไม่ใช่ฮีโร่กางเกงบาร์บี้เฉิ่ม ๆ แบบพวกเธอ” 

ยีนส์โกรธเลือดขึ้นหน้าทันที “นี่! จะแซวกางเกงอะไรกันนักหนาฮะ ฮีโร่ในทีวีเขาก็ใส่ชุดสี ๆ กันทั้งนั้นแหละ พวกเธอน่ะ แต่งตัวกันอย่างกับโจรสลลัด แถมยังพูดจาแบบนั้นอีก เป็นฮีโร่หรือวายร้ายกันแน่”

“หนวกหูน่า!” โดมินิกตวาดเสียงแข็ง “เอ่อะ.. คำนี้ยิ่งฟังโคตรเหมือนวายร้ายเลยนะ” ชอว์นเตือนจนโดมินิกเหมือนจะคิดขึ้นได้นิดหนึ่ง “จริงด้วย.. เอาเป็นว่าพวกแกน่ะ ถ้าคิดจะขวางทางพวกเรา ก็เข้ามาเลย!” 

ผมตอบรับทันที “ไม่ต้องท้า ขวางอยู่แล้ว ย้ากกกกก! ฉันกำลั..แอ่ก” ผมตีลังกา 1 ตลบกลางอากาศแทบจะในทันทีที่เข้าไปชนกับหมัดของมัน ร้องเพลงไม่ถึงไหนอีกแล้ว

“ไอ้นี่ก็อีกตัว ร้องเพลงอะไรของมันวะ ฉันจะส่งแกไปร้องคาราโอเกะชั้นใต้โลกเอง งงล่ะสิ ก็ในนรกไงล่ะ!” โดมินิกพูด เจ้าฮีโร่จอมโหดง้างกระบองในมือเตรียมจะฟาดผมอย่างแรง 

“อย่านะ!” พิ้งค์กระโดดถีบแขนโดมินิกจนกระบองนั้นหลุดมือไปก่อนที่จะถึงกลางหลังของผม “แน้! เธอนี่ ไปเรียนหลักสูตรฮีโร่สำนักไหนมาไม่ทราบ เป็นแค่ฮีโร่ฝึกหัด ริจะมาสู้กับฮีโร่รุ่นใหญ่อย่างฉัน แถมยังปกป้องไอ้พวกระยำนี่อีก” พิ้งค์ตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว “แล้วแกล่ะ รังแกคนไม่มีทางสู้ แถมไม่เลือกฝ่ายแบบนี้ ยังมีหน้าเรียกตัวเองว่าฮีโร่อีกหรอ ย้าก!” 

ยีนส์เข้ามาช่วยพิ้งค์ สองคนรุมต่อสู้กับโดมินิก แต่ก็สู้ไม่ไหว พวกเธอไม่สามารถต้านทานพลกำลังของมันได้ ล้มกระจัดกระจายกันไปคนละทาง โดมินิกกำลังปรี่เข้ามาจะจัดการกับยีนส์ แต่ชอว์นสไลด์ตัวมาขวางแล้วถอดแว่นชูขึ้น ขยับจนแสงอาทิตย์สะท้อนกับเลนส์กันแสง แสงวิ้งวับแทงเข้าตาจนโดมินิกต้องเอามือปิด “โอ๊ย! อะไรวะน่ะ” 

ชอว์นรีบพยุงยีนส์หลบออกไป โดมินิกจะวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน เกรซเลยยกปืนขึ้นมา แต่พิ้งค์ก็กำลังถือปืนชี้มาที่เธออยู่เหมือนกัน “จะลองวัดกันก็ได้นะ ว่าปืนใครจะไวกว่ากัน” พิ้งค์ท้าทาย แต่เกรซยิ้มตอบ “หึหึ ฉันยอมรับเลยนะ ว่าพวกเธอทำฉันเสียเวลาไปมากกว่าพวกลูกกระจ๊อกพวกนี้หลายสิบคนเลย แต่ฉันคงไม่อยู่เล่นด้วยแล้วล่ะ ไว้เจอกันใหม่หลังจากเราได้กระเป๋าออกไปจากที่นี่ก็แล้วกัน”

กลุ่ม เดอะ ก็อด ที่เหลือเข้ามาล้อมขวางไว้ และเล็งปืนใส่พิ้งค์ เกรซลดปืนของตัวเองลง แล้วเดินถอยหลังไปตามทาง สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย แต่รอยยิ้มช่างเยือกเย็น เหมือนเธอเป็นตู้แช่ในมินิมาร์ทที่ถูกเปิด มีไอเย็นแผ่ออกมาบาง ๆ จังหวะที่เธอเดินผ่านตัวผมไปทำเอาขนลุกซู่ พวกผู้ติดตามค่อย ๆ ถอยห่างจากเราและลดปืนวิ่งตามเธอไปในที่สุด

ชอว์นพายีนส์ออกมาจากที่ซ่อน พิ้งค์ยื่นมือให้ผมที่ยังคงนอนอยู่ ดึงให้ลุกขึ้นยืนได้ “คราวก่อนที่นายปล่อยฉันมา ครั้งนี้ถือว่าเราหายกันนะ” 

“ใช่” ชอว์นหันไปพูดกับยีนส์ “ครั้งนี้ผมช่วยคุณ ก็ถือว่าหายกันแล้วนะ” ยีนส์ผลักเขาอย่างแรง “โอ๊ย!”

“พวกฉันช่วยนายตั้งสองครั้งแล้วย่ะ” ชอว์นลุกขึ้นปัดเศษใบไม้ออก

“คือ…ถ้าพวกเราทุกคนหายกัน” ผมพูดขึ้น ทุกคนหันมาพยักหน้าให้ผม “แล้วไอ้นี่หมายความว่าไง?” 

ผมพยายามจะยื่นมือทั้งสองข้างออกมาใช้ประกอบการถามคำถาม แต่ค่อนข้างลำบากนิดหน่อย เพราะตอนนี้มันถูกมัดติดกันด้วยเชือกเส้นหนา ระหว่างที่ผมมัวแต่ยืนดูสองคนนั้นทะเลาะกันอยู่

______________________________________________________

ป่านแอมะซอนกินพื้นที่กว้างใหญ่หลายล้านตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ของ 9 ประเทศโดยรอบ มีป่าไม้เยอะกว่าครึ่งของทั้งหมดที่เหลืออยู่บนโลก จนถึงขั้นเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้ และเป็นป่าดิบชื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดอย่างที่ไม่มีป่าไหนเทียบได้

นั่นคือสาเหตุที่สถานที่แบบนี้ เหมาะแก่การเป็นที่ตั้งฐานบัญชาการขององค์กรวายร้ายอย่าง เดอะ สเกเลตั้น เพราะทั้งพรมแดนและเส้นทางอันซับซ้อน สิงสาราสัตว์นานาชนิด แม้จะไม่มีเจ้าหนูชุดโกโกวา หรือเลเซอร์จากบนฟ้าที่เล็งหัวเราอยู่ แต่การเดินทางในป่าแห่งนี้ยามกลางคืน ก็เป็นเกมการเอาชีวิตที่น่ากลัวและคาดเดาไม่ได้ โดยมีบอสใหญ่คือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมชาติ”

ทั้งหมดนี้ถือเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่ทำให้คนทั่วไปไม่มีใครย่างกรายเข้ามาในฐานบัญชาการขององค์กร เดอะ สเกเลตั้น ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการจะฝ่าด่านจากทางเข้าที่ปลายเท้าของโครงกระดูก ไปถึงห้องหัวใจ แทบไม่เคยมีใครเข้าไปถึงได้มาก่อน ยกเว้นฮีโร่ระดับท็อปบางคน…จริง ๆ ก็หลายคน แต่บอสก็ยังให้นับว่าเป็นส่วนน้อยถ้าเทียบกับคนที่เข้ามาไม่สำเร็จ

อเล็กซ์มั่นใจว่าพวก เดอะ ก็อด น่าจะยังไปไหนได้ไม่ไกล เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พวกคนนอกจะผ่าน โขดหินหัวเข่า ไปได้ในเวลากลางคืน มันต้องตั้งแคมป์ที่ไหนกันสักที่แน่ ๆ สิ่งที่เขาไม่มั่นใจ แต่ภาวนาอยู่ลึก ๆ คือขอให้จูเนียร์ยังมีชิวิตอยู่

แสงไฟ… ไม่ใช่ขององค์กร ต้องเป็นค่ายของพวกมันแน่ ๆ 

อเล็กซ์รีบวิ่งไปตามแสงไฟนั่นทันที เขามาหยุดอยู่หลังกระโจมหลังหนึ่ง ทุกอย่างเงียบสนิท เหมือนไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เปโดรตัดสินใจเดินเข้าไปด้านหน้ากระโจม มีกระโจมหน้าตาเหมือน ๆ กัน ตั้งล้อมเป็นวงกลม ตรงกลางมีกองไฟเล็ก ๆ อยู่กองหนึ่ง กับเสาต้นใหญ่ที่มีเชือกพันล้อมรอบโคนเสาอยู่ เขามองไปรอบ ๆ จนแน่ใจว่าปลอดภัย

กระโจมพวกนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก และดูสภาพไม่ได้ดีเท่าไหร่ อาจจะเป็นของพวกผู้ติดตาม เขาคิด และด้วยความคิดนั้น เขาเริ่มผ่อนคลายขึ้น จนเลิกเดินแบบย่องเบา 

แกร๊ก.. ครืดดด..

เสียงแรกเกิดจาเศษกิ่งไม้ที่หักคาเท้าของเขา เขาผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แต่เสี้ยววินาทีนั้น เขาก็มั่นใจว่าเขา
ได้ยินอีกเสียงตามมา เป็นเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง และตอนนี้ เขาก็กำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกระโจมที่ไม่รู้ว่ามีศัตรูอยู่ด้านในหรือด้านหลังหรือไม่ เขาอาจประมาทเกินไป เขาอาจพาตัวเองเข้ามาในกับดักของพวกฮีโร่สารเลวพวกนั้นเข้าให้แล้วก็เป็นได้

“สรุปเชื่อฉันได้รึยังล่ะ ยังจะดูอะไรอีก” เสียงที่อเล็กซ์คุ้นเคยลอยมาจากตรงไหนสักแห่ง 

“จูเนียร์!” อเล็กซ์พยายามกระซิบและตะโกนในเวลาเดียวกัน ออกมากลายเป็นเสียงแหบ ๆ ลม ๆ และทำให้เขาสำลักน้ำลายตัวเอง “แค่ก ๆ จูเนียร์!” 

“อ..อเล็กซ์! นั่นนายหรอ” เชือกที่พันอยู่รอบโคนเสาค่อย ๆ ขยับ และหมุน 

จูเนียร์ที่อยู่ในสภาพนั่งใช้ขาถีบให้ตัวเองโคจรรอบเสามาจนเห็นหน้าเพื่อน “มาได้ไงเนี่ย!”  

“เบา ๆ สิวะ เดี๋ยวมันก็ได้ยินกันหมดหรอก” อเล็กซ์เอ็ดขึ้น แต่จูเนียร์ยิ้ม “อ๋อ…ไอ้ฮีโร่พวกนั้นมันไปกันหมดแล้วล่ะ มันจะมาใส่ใจอะไรลูกกระจ๊อกอย่างฉันกันล่ะ จริงมั้ย”

“แล้วเมื่อกี๊นายหมายความว่ายังไง ที่ว่า เชื่อได้รึยัง น่ะ” อเล็กซ์ถามขณะแก้มัด  “อ๋อ…พวกนั้นถามทางไปห้องหัวใจน่ะ ทีแรกฉันก็ไม่อยากบอก แต่มันเล่นซ้อมพวกเราจนน่วมกันหมด ฉันเลยยอมบอกไปบางส่วน ทีแรกมันเหมือนจะไม่เชื่อ แต่หัวหน้าของพวกนั้นหายไปนานมากแล้ว มันคงล่วงหน้าไปไกลแล้วล่ะ ส่วนพวกที่ยังอยู่แถวนี้ก็คงตามไปตอนสว่าง”

อเล็กซ์หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ หลังจากแก้มัดให้เพื่อนเสร็จ “ช่างเถอะ ตอนนี้อาร์มกำลังไล่ตามฮีโร่อีกกลุ่มหนึ่งไป ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไปตามหาน้ากี้ที่โดนโยนลงลำธาร ไม่รู้ตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ฉันว่าเราควรตามไปช่วยอาร์มดีกว่านะ” 

จูเนียร์ขัดขึ้น “เดี๋ยวก่อน ฉันได้ยินพวกนั้นพูดถึงเรื่องกระเป๋าบางอย่าง น่าจะหมายถึงของที่บอสเพิ่งได้กลับฐานมา
เมื่อวานนี้ แล้วสั่งเพิ่มมาตรการความปลอดภัยเป็นระดับสีแดง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ที่มีฮีโร่บุกเข้ามาพร้อมกันเยอะแบบนี้” 
อเล็กซ์คิดตาม “อืม ถ้างั้นกระเป๋าที่ว่านั่นคงจะสำคัญมาก เราต้องหาทางหยุดฮีโร่พวกนั้นให้ได้” 

จูเนียร์หมุนข้อมือเพื่อคลายความเจ็บจากการถูกรัดอยู่นาน “นายคิดเหมือนฉันใช่มั้ยอเล็กซ์” ทั้งสองมองตากัน อเล็กซ์ยิ้มก่อนจะตอบ “อืม.. ถึงแม้จะไม่มีอาร์มหรือน้ากี้ และถึงพวกเราจะถูกฝึกมาเพื่อเป็นแค่ตัวคั่นเวลากระจอก ๆ แต่เราจะปล่อยให้ไอ้พวกนั้นหยามศักดิ์ศรีขององค์กรเรา และเอากระเป๋านั่นไปง่าย ๆ ไม่ได้ แล้วถ้าเราสำเร็จ พวกเราอาจจะได้เป็นลูกกระจ๊อกในตำนานอย่างน้าของอาร์มก็ได้นะ”

จูเนียร์ตบบ่าเพื่อนอย่างหนักแน่น “ฉันดีใจนะที่นายคิดอะไรเท่ ๆ แบบนั้น  แต่ที่จริงฉันหมายถึง ฉันหิวน่ะ เราหาอะไรกินกันหน่อยได้มั้ย” อเล็กซ์ถอนใจ “โถ่เอ๊ย ไอ้เปี๊ยก! ฉันก็นึกว่าแกอินกับสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำเสียอีก เอ้า! เอาขนมปังนี่ไปกินก่อนแล้วกัน ฉันพกติดมาพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะเจอแกตอนไหน” 

จูเนียร์หัวเราะร่า “เรารีบไปกันเถอะ ชะตากรรมของโลกใบนี้ เอ๊ย! พูดซะดูเป็นฮีโร่เลย…ของเดอะ สเกเลตั้น อาจจะขึ้นอยู่กับพวกเราสองคนก็ได้” 

จูเนียร์ยัดขนมปังเข้าปากแทบจะในคำเดียว ในขณะที่เคี้ยวครึ่งที่อยู่ด้านในด้วยฟันกราม คาบอีกครึ่งไว้ด้วยริมฝีปาก แบ่งสัมภาระจากอเล็กซ์มาช่วยถือ และพากันลอบออกไปโดยไม่มีใครเห็น

หรือเปล่านะ