ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังนั่งเขี่ยฟืนให้กลิ้งไปมา จ้องมองดูมันค่อย ๆ มอดไหม้ไปทีละชิ้น เพื่อมอบความอบอุ่นในยามดึกให้กับผมและคนอีก 4 คนในเต๊นท์ ที่ผมไม่ได้พูดอะไรด้วยอีกเลยตั้งแต่หลังเจอน้าเบิร์ด แม้ว่าตลอดทางในหัวผมจะคิดอะไรเต็มไปหมด

“นายโอเคหรือเปล่า” พิ้งค์เปิดเต๊นท์ออกมา เธอถามขึ้นพลางหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ทำไมเธอชอบทำเหมือนกับว่าเธอแคร์ความรู้สึกของคนอื่นนักนะ เธอเรียกผมด้วยชื่อแทนที่จะเรียกว่า นายลูกกระจ๊อก อย่างที่เพื่อนของเธอทำด้วยซ้ำ

“คนดี ๆ อย่างพวกคุณก็พูดกับวายร้ายแบบนั้นเป็นปกติอยู่แล้วนิ ผมเข้าใจได้แหละ” ผมตอบประชดโดยไม่หันไปมองหน้า แต่เธอกลับชะโงกมาหาแล้วพูดต่อ “เข้าใจ แต่ไม่ได้ชอบ” ผมลุกขึ้นไปหยิบฟืนมาผ่า เราต้องเหลือฟืนใช้จนกว่าจะถึงเช้า..หรืออันที่จริงฟืนอาจจะมีมากพอแล้ว แต่ผมแค่ไม่อยากถูกสายตาของเธอจ้องตรง ๆ แบบนั้นอีก “แล้วไง จะให้ผมไปบอกเขาว่า ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้นะ งั้นหรอ ผมจะไปสั่งอะไรพวกคุณได้” 

พิ้งค์เข้ามาช่วยหยิบฟืนที่ผมผ่า โยนลงไปในกองไฟทีละซีก “ฉันขอโทษแทนชอว์นด้วย ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจขึ้น ฉันไม่อยากให้นายรู้สึกว่าการเลือกเส้นทางผิด แล้วจะต้องโดนพูดจาไม่ดีใส่เสมอไป คนเราก็ควรจะให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และนายก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรขนาดนั้น”

“โอ้โห พูดอย่างนี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า คุณไม่รู้อะไร ตอนนี้ผมน่ะเป็นสุดยอดวายร้ายแล้วนะ” เธอขำผมอย่างไม่สมเหตุสมผล “ยังไงไม่ทราบ” ผมก็ไม่ได้อยากจะโม้หรอกนะ แต่ไหน ๆ เธอถามแล้วก็เอาเสียหน่อย “ก็ผมอยู่กับพวกคุณมาเป็นวันแล้ว ลูกกระจ๊อกคนอื่นเขาเข้าไปสู้กับฮีโร่ได้แค่ไม่เกินท่อนฮุคก็เดี้ยงหมดแล้ว”

เธอหัวเราะ “เพลงพี่โอมที่นายชอบร้องน่ะหรอ” ผมตกใจ “เฮ้ย คุณรู้จักด้วย” เธอตอบ”ฉันก็เกิดทันหรอกย่ะ แต่นายยังไม่ได้สู้กับชั้นเลยนะ ขี้โม้สุด ๆ”

“ถ้างั้นก็มาสู้กันเลยดีกว่า มา” ผมลุกขึ้นปัดเศษไม้ออกจากตัว แต่พิ้งค์กลับพุ่งตัวขึ้นมาจู่โจมผมก่อนอย่างรวดเร็ว ผมถอยตัวมาตั้งหลักได้ หลบหมัดของเธอได้ 2 หมัด แต่ผมยังไม่ได้เริ่มร้องเพลงเลยนี่นา 

ในขณะที่มัวแต่คิดอยู่นั้นเอง เธอก็คว้าคอเสื้อ แล้วเหวี่ยงตัวของผมข้ามไหล่เธอ ทุ่มลงกับพื้น 

เธอยื่นมือมาให้จับ แต่ผมเลือกที่จะลุกเอง ผมอาจจะเป็นทั้งเชลย ทั้งลูกกระจ๊อกที่ไม่มีความสามารถ และเป็นคนแพ้ที่ไม่ได้เหลือศักดิ์ศรีอะไรมากนัก แต่ผมก็ไม่อยากจับมือเธออยู่ดี ทุกครั้งที่เธอเข้ามาใกล้เกินไป ผมจะรู้สึกประหม่า เกร็ง ๆ สั่น ๆ แปลก ๆ ผมจะไม่ยอมให้เธอรู้แล้วเอาไปพูดหรอก ว่าลูกกระจ๊อกของ เดอะ สเกเลตั้น แอบกลัวฮีโร่ฝึกหัดจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

“เป็นอันว่าฉันชนะนาย เพราะงั้น นายต้องช่วยฉันกับยีนส์เอากระเป๋าใบนั้นมานะ” พิ้งค์พูด “ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วย แล้วไหนว่าจะให้แค่พาไปถึงที่นั่นไง เรื่องชิงกระเป๋ากับบอสนี่มันมากเกินไปนะ” ถ้าจะมีใครที่ทำให้ผมตัวสั่นกว่าพิ้งค์ได้ ก็คงเป็นบอสนี่แหละ ถึงจะเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้งจากที่ไกล ๆ ก็ตาม

“นายไม่อยากรู้หรอว่าการได้ช่วยโลกหรือคนที่เรารักไว้มันรู้สึกยังไง ถ้าเกิดของในกระเป๋านั่นมันทำให้ครอบครัวของนายเดือดร้อนล่ะ” เธอพยายามโน้มน้าวใจผมอีกแล้ว เพื่ออะไรกันนะ “คุณพูดอย่างกับรู้เลยนะ ว่าในนั้นมีอะไร” 

“ถึงฉันจะไม่รู้ แต่ฉันจะไม่ยอมเอาชีวิตของทุกคนมาเสี่ยงหรอก อีกอย่างหน้าที่หลักของพวกนายก็แค่ถ่วงเวลาฮีโร่อยู่แล้วนี่ นายบอกเองว่าทำสำเร็จแล้ว หลังจากนี้ นายลองทำสิ่งที่ฉันบอกดูบ้าง จะได้รู้ว่าความถูกต้องของฉันกับนายมันต่างกันยังไง” 

ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ “รู้แล้วยังไง จะให้ผมออกไปเป็นฮีโร่ด้วยงั้นหรอ คุณชวนช้าไปหลายปีเลยนะ” แต่เธอกลับบอกว่า “ไม่มีคำว่าสายหรอกนะถ้านายคิดจะเป็นคนดีสักครั้ง แค่นายรู้ว่านายจะทำมันไปเพื่ออะไร เพื่อใคร อาจจะแค่เพื่อตัวนายเอง หรือคนที่…นายแคร์” เธอย้ายสายตาไปที่กองไฟ ผมอาจจะคิดไปเองว่าผมก็เริ่มรู้สึกหน้าร้อน ๆ หลังจากได้ยินคำนั้น ที่จริงความร้อนคงมาจากกองไฟที่เริ่มลุกใหญ่ขึ้น เพราะฟืนอันใหม่ที่เราเพิ่งโยนลงไป

“เอ่อ.. ที่จริง คุณก็ไม่ได้เป็นฮีโร่ที่มีพิษมีภัยกับผมมาก เอาเป็นว่าผมจะพยายามให้พวกคุณรอดออกไปได้ก็แล้วกัน ส่วนภารกิจอะไรนั่น ก็เป็นเรื่องของฮีโร่อย่างพวกคุณที่ต้องทำให้สำเร็จอยู่แล้วนี่เนอะ คุณเป็นฮีโร่ที่เก่ง คงทำได้อยู่แล้วล่ะ” 

เธอหันกลับมายิ้มด้วยสายตาแบบใหม่รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ทำไมเธอถึงมีสิ่งที่คาดไม่ถึงให้ผมเจออยู่ได้ตลอดเวลากัน รอยยิ้มนั่นก็ด้วย “อื้ม… แค่นั้นก็ได้ ขอบคุณนะ” เป็นคำขอบคุณที่ดูจริงใจมากทีเดียว สำหรับประโยคที่ฮีโร่พูดกับวายร้าย

“ไปนอนเถอะ ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่มีแรงพอ จะมาเป็นภาระผมเปล่า ๆ” สีหน้าเธอกลับเป็นปกติอีกครั้ง “ชิ! นายนั่นแหละ สู้กับพวกที่ฝึกมาจากที่เดียวกัน ก็อย่าให้เห็นว่าแพ้ล่ะ” เธอดึงผ้าห่มที่ไหลหล่นลงไปของตัวเองขึ้นมากระชับ
ที่หัวไหล่ แล้วเดินกลับไปนอน ในขณะที่ผมยังคงคิดถึงสิ่งที่เธอพูด

สิ่งที่ผมอยากทำ งั้นหรอ… ถ้าผมไม่ใช่วายร้าย ผมคงอยากขอบคุณเธอเหมือนกัน ที่เดินมาคุยกับผมแบบนี้

_________________________________________

ชอว์นนั่งอยู่ที่หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง มองดูประกายวิบวับของแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แม่น้ำแอมะซอนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่เพียงแค่เส้นเลือดใหญ่ของเขาวงกตรูปโครงกระดูกนี้เท่านั้น แต่เป็นสายน้ำที่มีปริมาณคิดเป็น 1 ใน 5 ของน้ำทั้งหมดบนโลกใบนี้

ในฤดูน้ำหลาก จะมีน้ำท่วมป่าแอมะซอนกินพื้นที่เท่ากับประเทศเยอรมนีได้เลยทีเดียว ซึ่งฤดูที่ว่าก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว หวังว่าจะได้กระเป๋ากลับคืนมา และออกไปได้อย่างปลอดภัยก่อนที่น้ำจะท่วมนะ เขาคิด และเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

ยีนส์เดินเข้ามานั่งข้างเขาเงียบ ๆ จนชอว์นแทบไม่รู้ตัว เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิด “คุณ.. ยังไม่นอนหรอ” ยีนส์
พยักหน้า “คิดอะไรอยู่หรอ” ชอว์นนิ่งเงียบและหันไปมองเงาพระจันทร์ในน้ำอีกครั้ง เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้ หวังว่าพวกมันจะยังเปิดกระเป๋าไม่ได้นะ… ของในกระเป๋านั่น… เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ…

เขาตั้งคำถามกลับให้ยีนส์ในที่สุด “ทำไมคุณถึงช่วยผม” ยีนส์ตอบโดยที่ยังมองออกไปยังผืนน้ำเช่นกัน “ก็อย่างที่พิ้งค์บอกนั่นแหละ เราเห็นคนโดนทำร้ายกับตา เราก็ต้องช่วย แล้วอันที่จริง นายก็อยู่ในสภาพที่ไม่น่าจะไปครองโลกหรือทำร้ายใครได้จริง ๆ นั่นแหละ ฉันถึงได้ยอมพิ้งค์มาจนถึงตอนนี้”

ชอว์นถามต่อ “แต่คุณก็ดูจะไม่เห็นด้วยกับเธอมาตลอด” ยีนส์หันกลับมามองหน้าชอว์นด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะฉันไม่ชอบนายไงล่ะ และฉันก็เป็นห่วงพี่สาวฉันด้วย” ชอว์นเลิกคิ้ว “พวกคุณเป็นพี่น้องกันหรอ” ยีนส์แก้ “เอ้อ.. ก็ไม่เชิง ฉันแค่รักพิ้งค์เหมือนเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของฉัน” 

สายตาของชอว์นจ้องยีนส์อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคิดชั่วครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจเริ่มเล่า “เราโตมาในบ้านเด็กกำพร้าทั้งคู่ พิ้งค์คอยปกป้องฉันมาตลอด ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีแต่ความรุนแรง แม้แต่กับเด็กที่ไม่มีทางสู้ แถมการบริหารก็เป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์ ผอ. ยักยอกเงินออกไปหมด จนเด็กในนั้นไม่มีกับข้าวดี ๆ ให้กิน ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ตลอดหลายปี พวกเราต้องทนกับความไม่ยุติธรรมมาทั้งชีวิต”

ชอว์นสรุป “คุณก็เลยมาเป็นฮีโร่ เพื่อมอบความยุติธรรมให้คนอื่น” ยีนส์ส่ายหน้า “ฉันไม่ได้พยายามมอบมันให้คนอื่น ความยุติธรรมเป็นของพวกเราทุกคน ถ้ามีบางคนได้รับผลประโยชน์ไป แต่ตัวเราเองเป็นฝ่ายเดือดร้อนหรือเสียหาย มันก็ไม่ใช่ความยุติธรรมอยู่ดี จริงมั้ย”

ชอว์นมองเธอด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ ก่อนจะถามอีกคำถามที่อยากรู้ “แล้วทำไมต้องใส่กางเกงสีชมพูล่ะ” ยีนส์เปลี่ยนสีหน้าทันที จนชอว์ต้องรีบพูด “ม..ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็แค่สงสัยเฉย ๆ เอง ไม่ได้จะว่าอะไรซะหน่อย” 

ยีนส์หัวเราะ “ตอนเด็ก ๆ เวลาดูขบวนการเรนเจอร์ต่าง ๆ เราสองคนจะชอบแย่งกันเป็นตัวสีชมพูกันตลอด ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงในขบวนการเรนเจอร์ถึงมักจะมีได้แค่คนเดียว ทั้งที่ผู้หญิงน่ะโคตรควรจะเป็นคนที่เรียกร้องความยุติธรรมเลย แล้วพอโตมาเราก็เลยทำชุดที่อิงมาจากขบวนการที่เราเคยดู ใคร ๆ ก็เอาแต่แซวเรา หรือมองว่าเราเป็นตัวตลก เพราะชุดของพวกเรา แต่ไม่มีใครมองสิ่งที่พวกเราทำมาตลอดเวลาที่ผ่านมาเลย เราจัดการพวกนักเลง หัวขโมย วายร้าย ได้ตั้งหลายกลุ่ม แล้วก็ปกป้องคนในชุมชนไว้ได้ตั้งหลายครั้งนะ”

ชอว์นพูด “รวมถึงปกป้องผมด้วย ผมนับถือพวกคุณจริง ๆ นะ ถึงสังคมจะยังให้คุณเป็นแค่ฮีโร่ฝึกหัด แต่พวกคุณคือฮีโร่ตัวจริงสำหรับผม” ยีนส์ยิ้มก่อนจะตอบ “ขอบคุณนะ”

ชอว์นถามต่อ “แล้วชื่อล่ะ คุณชื่อ พิ้งค์ กับ ยีนส์ ตั้งแต่เกิดกันจริงดิ” ยีนส์ยิ้ม “ในประเทศบ้านเกิดของเรา คนจะเอาคำอะไรที่มีความหมายมาตั้งเป็นชื่อก็ได้ อย่างเช่นปี 1998 ที่ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลก คุณไม่รู้หรอกว่าประเทศฉันมีเด็กเกิดในนั้น ที่ชื่อฟร้องซ์กี่คน” ชอว์นเลิกคิ้ว “ทั้ง ๆ ที่พวกคุณไม่ได้เกิดที่ฝรั่งเศสเนี่ยนะ” ยีนส์ยักไหล่ตอบ ประมาณว่า มันก็เป็นของมันแบบนั้นแหละ

ยีนส์ถามกลับ “แล้วนายคิดยังไงกับพี่สาวฉันกันแน่ นายชอบเธอจริงหรือเปล่า” ชอว์นอึกอัก “ถ.. ถามกันอย่างนี้เลยหรอ…แต่…แน่นอนสิ ผมมั่นใจว่าเราเป็นพรหมลิขิตกันแน่นอน คุณก็ชอบดูหนังดูละครไม่ใช่หรือไง พระเอกกับนางเอกที่บังเอิญเข้ามาเป็นศัตรูกับวายร้ายคนเดียวกัน ต้องร่วมมือ ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน สุดท้ายก็ได้ลงเอยกันตลอดนั่นแหละ” 

ยีนส์ขมวดคิ้วมองเหม่อออกไปทางแม่น้ำ “แต่ฉันก็ฝ่าฟันมากับพวกนายนะ แถมฉากคุยกันสองต่อสองริมแม่น้ำยามค่ำคืนแบบนี้ คนที่มานั่งข้างนายดันเป็นฉันอีก ไม่คิดว่าฉันจะเป็นนางเอกบ้างหรือไง” ชอว์นมองหน้าเธอ เขาดูตกใจจนทำอะไรไม่ถูก 

“เป็นไร คิดจริงหรอ” เธอกลั้นขำแทบไม่อยู่ที่เห็นสีหน้านิ่งอึ้งของชอว์น เขาสะบัดหน้าตัวเองแรง ๆ หนึ่งที “ป.. เปล่า แค่ตกใจที่อยู่ดี ๆ เธอมาพูดแบบนั้น” ยีนส์ลุกขึ้น ปัดฝุ่นจากกางเกงและหมุนตัวเดินออกไป ก่อนจะหยุดเพื่อพูดต่อโดยไม่ได้หันไปมองชอว์น “ฉันไม่มีวันชอบคนอย่างนายหรอก แต่ฉันก็จะจับตาดูนายไว้ ถ้าคิดว่าเดินทางไปด้วยกันแค่นี้แล้วพิ้งค์จะตกหลุมรักน่ะ ฝันไปเถอะ แต่ถ้านายทำให้เห็นว่าปกป้องพิ้งค์ได้ ฉันก็จะไม่ขวางหรอก”

ไม่มีคำขอบคุณตอบกลับมาจากชอว์น แต่เป็นเสียงอื่น

“โอ๊ย!” ลูกสมุนวายร้ายคนหนึ่งฟาดชอว์นอย่างแรงจากด้านหลัง แล้วพยายามมัดด้วยเชือก ลูกสมุนอีกคนวิ่งเข้ามาแล้วตำหนิเพื่อน “ตีหัวมันทำไมวะ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก” พิ้งค์รีบเข้าไปช่วย “พวกแกจะทำอะไรน่ะ หยุดนะ!” ลูกสมุนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังยีนส์และล็อคเธอเอาไว้ ลูกสมุนคนหนึ่งเดินมาเหยียบที่หน้าอกชอว์น “เฮ้ย! แกน่ะ มากับเราซะดี ๆ” 

ชอว์นพยายามหายใจและพูด “หึ หัวหน้าแกคงรู้แล้ว..สินะ ว่าต้อง ช.. ใช้ฉันเพื่อเปิดกระเป๋า” ลูกสมุนมองหน้ากัน
เลิ่กลั่ก “ม.. ไม่ใช่ ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก แต่แกต้องไปกับเรา เพื่อชดใช้ความเจ็บปวดที่ทำแสบไว้กับบอสต่างหากล่ะ”

ยีนส์ดิ้นหลุดจากการถูกล็อค แล้ววิ่งเข้าไปกระโดดถีบเข้าที่กลางอกลูกสมุนที่เหยียบชอว์นอยู่ เธอเอาเชือกที่มัดชอว์นอยู่ ผูกเข้ากับหินก้อนใหญ่ที่ทั้งคู่นั่งคุยกันก่อนหน้านี้ ลูกสมุนอีกสามคนเข้ามารุมจับเธอแล้วทุบเข้าที่ท้องจนเธอเข่าอ่อนทรุดลงไป

“เอาไงดี แกะเชือกไม่ออกเลย ผูกแน่นเหลือเกิน” ลูกสมุนคนหนึ่งโวยวาย เพื่อนที่มาด้วยกันต่างทำอะไรไม่ถูก “เอายัยนี่ไปแทนก็ได้มั้ง ตัวเล็กอุ้มง่ายดี สลบไปแล้วด้วย” ลูกสมุนกลับไปรวมกัน จับยีนส์ใส่กระสอบแล้วเดินกันไป “งั้นเราก็รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนมันแห่กันมา สู้แล้วแพ้ยิ่งซวยอีก”

“ยีนส์!!!” ชอว์นพยายามดิ้นแต่ก็ไร้ผล เขาจึงหาทางช่วยเธอด้วยเสียงแทน แต่ก็ถูกลูกสมุนคนหนึ่งเอาไม้ตีเข้ากลางลำตัวจนเปล่งเสียงไม่ออก ก่อนจะโดนทุบเข้าที่ท้ายทอยอีกที

“เฮ้ย พอแล้ว เดี๋ยวมันตาย” ลูกสมุนอีกคนห้ามเพื่อน ทุกคนหยุดและหันกลับไปหิ้วกระสอบขึ้นมา “หนักชะมัด นี่ขนาดเอาผู้หญิงไปนะเนี่ย ปล่อยไอ้แว่นไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็ตามมา” ก่อนจะหันไปหาชอว์น “รีบตามนะเฮ้ย! ห้ามตายก่อนด้วย” 

ชอว์นที่นอนกองอยู่กับพื้นมองพวกมันเดินห่างออกไป จนภาพค่อย ๆ เบลอและดับวูบกลายเป็นสีดำ