แต่ดั้งเดิม เมืองมาเนาส์เป็นเมืองท่าสำคัญเมืองหนึ่งของบราซิล ที่ผ่านความรุนแรงมาทุกรูปแบบ ตั้งแต่ตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส หรือการมาของอังกฤษและฝรั่งเศสในคราบของคู่ค้าทางธุรกิจ แต่แล้วก็หลอกผู้คนไปเป็นทาส ใช้งานอย่างหนัก ข่มเหงรังแก ใครขัดขืนก็ฆ่าทิ้งเป็นผักปลา

จนมาถึงยุคปัจจุบัน แม้จะได้รับฉายาว่าเป็น “ปารีสเขตร้อน” จากการเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาใต้ และกลายเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรม แต่ในความจริง เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศโคลัมเบีย แหล่งผลิตยาเสพติดเจ้าใหญ่ของโลก แน่นอนว่าสินค้าที่เข้าออกไม่ได้มีแต่งานศิลปะและของถูกกฎหมาย

เมื่อปัญหาค้าอาวุธและยาเสพติดหลอมรวมกับอำนาจทางการเมือง มาเฟียทุกกลุ่มมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง การปกครองด้วยกฎหมู่แทรกซึมเข้าสู่ทุกย่าน ความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ชื่อเสียของเมืองนี้ค่อย ๆ กระจายออกไปจนดึงดูดวายร้ายตั้งแต่ระดับนักฆ่ามืออาชีพ ไปจนถึงพวกวัยรุ่นหัวโปกที่เพิ่งอยากหัดทำชั่ว

ยามค่ำคืน เมืองนี้ยิ่งเป็นสถานที่อันตรายขึ้นหลายเท่า ผู้คนทั่วไปไม่มีใครกล้าออกมาเดินเพ่นพ่าน ถ้าใครทำงานกลางคืน หรือจำเป็นต้องออกจากบ้านจริง ๆ ก็ต้องคอยระวังตัวเองให้ดี เพราะอาชญากรรมหรือแม้แต่ฆาตกรรมเกิดขึ้นได้
ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน เหล่าวายร้ายในเมืองนี้เยอะเกินกว่าตำรวจหรือรัฐบาลจะรวบรวมข้อมูลได้หมด หรือถึงรวบรวมได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการกำจัดทิ้งให้หมดไป

ประชาชนเลยต้องหันไปหาความหวังพึ่งทางเลือกใหม่ นั่นคือเหล่าผู้ที่สถาปนาตนเป็นฮีโร่ คอยออกต่อสู้ปราบปรามเหล่าวายร้าย หากแต่เหล่าฮีโร่นั้นก็มีหลากหลายจนควบคุมไม่ได้เช่นกัน ฮีโร่แต่ละคนมีจุดยืนและวิถีที่ต่างกันไป ไม่มีเส้นขีดแบ่งของคำว่าความรุนแรงหรือความถูกต้องที่ชัดเจน ทั้งเมืองเต็มไปด้วยการแบ่งกลุ่ม แบ่งฝ่าย และการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทุกวันคืนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“แค่นี้ก็น่าจะพอ” จูเนียร์เหวี่ยงถุงกระสอบขึ้นบ่า แล้วยกไหล่กระทุ้งเพื่อกระจายน้ำหนักเงินในนั้น ทั้งที่ความจริงไม่ได้หนักอะไรเลย แต่มันก็ดูใช้ความพยายามพอสมควรที่จะถือให้ทะมัดทะแมง ขณะที่กำลังรีบสาวเท้าเดินมาให้ทันผมกับอเล็กซ์

“ว่าแต่ ถึงเราจะไม่ได้ไปปล้นสถานที่สำคัญ แต่ถ้าทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เราก็ควรจะเรียกร้องความสนใจกว่านี้หน่อยรึเปล่า” อเล็กซ์ถามขึ้น ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการเบี่ยงเบนความสนใจที่ว่า คือต้องเบี่ยงเบนแค่ไหน แต่ตอนนี้พนักงานร้านมินิมาร์ทน่าจะโทรแจ้งตำรวจแล้ว

ตอนนี้พวกเรามาหยุดอยู่ในตรอกที่ทั้งมืดและแคบ รอรับสัญญาณคำสั่งว่าต้องทำอะไรต่อ จูเนียร์ชะโงกหน้าออกไปที่ถนนใหญ่ มองดูลาดเลา “ตึกแถวที่อยู่ตรงนั้นน่ะ เราปาอะไรเข้าไปให้กระจกแตก จะดูเรียกร้องความสนใจมากขึ้นมั้ย” ผมมองตามทิศที่จูเนียร์ชี้ไป “ตึกร้างทั้งแถบแบบนั้น ใครจะแจ้งตำรวจ” มันทำหน้าจ๋อยก่อนจะตอบหรือบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “แต่เสียงดังอาจจะทำให้คนไปแจ้งตำรวจก็ได้นี่นา”

ความจริงนี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเราสนิทกัน ผมรู้ว่าลึก ๆ แล้วจูเนียร์ก็แค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แต่มันไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร ถ้าลองตึกเหล่านั้นมีคนอาศัยอยู่ มันคงไม่คิดจะปาอะไรเข้าไปหรอก แม้แต่มินิมาร์ทที่เราเพิ่งไปปล้นมา เราก็ไม่ได้ทำอะไรพนักงานคิดเงินเลย นอกจากเอาปืนปลอมไปขู่ให้เขาส่งเงินมาให้

อาจจะฟังดูแปลกสำหรับคนที่ทำงานในองค์กรวายร้าย แต่ผมก็คิดว่าตัวเองขี้สงสารเกินไปสำหรับอาชีพนี้อยู่บ้างเหมือนกัน บางทีพวกเราก็ดูมีจรรยาบรรณมากกว่าฮีโร่บางกลุ่มที่บุกเข้ามาในองค์กรเราด้วยซ้ำ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งลอยมาจากบันไดข้างตึกเหนือหัวพวกเรา ผมตกใจจนเกือบทำถุงเงินในมือหล่น หันไปมองดูก็พบว่า อเล็กซ์อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ส่วนจูเนียร์ถุงอยู่ที่พื้นแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะมันตกใจกว่าคนอื่น สองมือของมันตั้งการ์ดพร้อมสู้เต็มที่

“พวกนายสินะ ที่เพิ่งปล้นร้านสะดวกซื้อตรงหัวมุมมาน่ะ” เธอพูดด้วยเสียงที่ดูพยายามจะกดให้ต่ำ แต่ก็ไม่ได้ต่ำขนาดนั้น “ซวยล่ะ อยากล่อตำรวจ ดันมาเจอฮีโร่ซะงั้น” อเล็กซ์ร้อง

“ก็ถ้าใช่ แล้วจะทำไม..” จูเนียร์ตะโกนกลับไป แต่ยังไม่ทันที่จะจบประโยค เธอก็โดดลงมาถึงพื้น อยู่ในท่า ซุปเปอร์ฮีโร่แลนดิ้ง บอกตามตรง ผมเพิ่งเคยเห็นฮีโร่ที่โดดลงมาในท่านี้ได้สวยสมูทแบบนี้ครั้งแรก

พอเธออยู่ในแสงไฟแล้ว กลับดูบอบบางและเด็กกว่าที่ผมคิดในทีแรก ใส่กางเกงยีนส์สีชมพูสด บวกกับผ้าคลุมสีเหลืองที่ปลิวสวยมากตอนร่อนลงมา แต่พอรวมกันเป็นเครื่องแบบฮีโร่แล้วดูออกจะ.. เป็นความลื่นล้มทางแฟชั่นไปสักนิดสำหรับปี 2035

“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่จะบอกให้พวกนายวางเงินเอาไว้ตรงนั้น แล้วก็สัญญาว่าจะไม่ปล้นใครอีก ไม่อย่างงั้น ฉันในนามขบวนการ พิ้งค์ ยีนส์ คงจะต้องจัดการนาย” เธอพูด ยังพยายามกดเสียงต่ำอยู่ 

“คือพวกเราก็ไม่ได้..” ผมพยายามพูดถ่วงเวลาเพื่อจะคิดแผนในการเอาตัวรอด ถึงเธอจะดูไม่ได้น่ากลัวเหมือนฮีโร่หลาย ๆ คนที่เราเคยเจอมาก็เถอะ ยังไงวันนี้ภารกิจของพวกเราก็ไม่ใช่การต่อสู้ แถมสภาพร่างกายพวกเราก็ยังสะบักสะบอมกันจากงานเมื่อกลางวัน

“ฮ่า ๆ ตลกเป็นโจ๊ก!!!” จูเนียร์แทรกขึ้นเสียงดังจนผมเองก็ยังตกใจ “ใครเขาจะปล้นแล้วเอามาคืนง่าย ๆ อย่างนั้นกัน แน่จริ..อ..โอ๊ย! อะไรน่..อุก..อั่ก..แอ๊กกกก” 

ฮีโร่สาวอีกคนโหนตัวลงมาจากอีกมุมตึก เธออยู่ในชุดสีหวานเจี๊ยบเจ็บจี๊ดเช่นเดียวกับสาวคนแรกเป๊ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นขบวนการเดียวกัน ลูกถีบเธอแรงและเร็วจนจูเนียร์ลงไปนอนกับพื้น อเล็กซ์พยายามจะช่วย แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนผมมองอะไรแทบไม่ทัน หันไปอีกทีมันก็ร่วงลงกองอยู่ข้างจูเนียร์ แบบชนิดที่ถ้าเป็น น้าติง ฮาร์ดคอร์ พากย์คงต้องบอกว่า หมอบกระแตตุ๋ย สิ้นสภาพนักศึกษา

“ไม่รอจังหวะเปิดตัวที่ดีกว่านี้หน่อยหรอ ยีนส์” ฮีโร่สาวคนแรกกล่าว “โห พิ้งค์ ก็เธอเล่นคุยกับมันซะยาวเลย ไอ้หมอนั่นก็นี่ดูขี้โม้ด้วย กว่าจะคุยกันจบ เอาเวลากลับบ้านไปดูซีรีส์ต่อดีกว่า” เธอตอบระหว่างที่เก็บถุงเงินบนพื้นขึ้นมา

“จ้ะ แม่คนติดละคร ถ้างั้น..” เธอตั้งใจเว้นจังหวะระหว่างที่หันมามองผม “เรามาจบงานของเรากันดีกว่า พนักงานที่มินิมาร์ทนั่นคงร้อนใจแย่แล้ว” ผมจ้องสลับไปมาระหว่างพวกเธอทั้ง 2 คน กำลังคิดว่าจะพุ่งลงต่ำ แล้วไปดึงเชือกรองเท้าคนที่ชื่อยีนส์ซึ่งเคลื่อนที่ไวกว่า เผื่อว่าจะทำให้เธอสู้ไม่ถนัด แล้วจังหวะที่เธอผูกเชือกรองเท้า ผมจะได้ช่วยเพื่อน ๆ ก่อน 

เพล้ง! แอ๊นนนน แอ๊นๆๆๆ เสียงสัญญาณนิรภัยดังขึ้นมาจากทิศเหนือ ห่างออกไปประมาณ 3 บล็อก แน่นอน หูผมไม่ได้เทพขนาดคำนวณระยะทางได้หรอก แต่นั่นคือสัญญาณว่าสำนักงานกฎหมายถูกบุกแล้ว นี่คือจังหวะที่ตำรวจทุกคนจะไปทางนั้น แล้วก็เป็นโอกาสที่พวกเราจะแยกย้ายกันกลับฐานอย่างเงียบ ๆ ผมเลยโยนถุงเงินให้กับคนที่ชื่อพิ้งค์ ยัยฮีโร่คนแรกที่แลนดิ้งสวย หน้าตาเธอดูงงนิดหน่อย ผมเลยอธิบาย

“ไหน ๆ คุณจะกลับไปมินิมาร์ทอยู่แล้ว ก็ฝากคืนถุงนี้ด้วยแล้วกัน ผมไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ลาก่อน” ผมพูดไปด้วย พลางหิ้วแขนจูเนียร์ลากมาตามพื้นด้วย ส่วนอเล็กซ์ก็ค่อย ๆ ตะกุยกำแพงลุกขึ้นแล้วเดินตามมา 

“ปล่อยพวกนั้นไปเถอะ ยีนส์ รีบเอาเงินไปคืนแล้วไปดูสัญญาณนั่นกันดีกว่า” คนที่ชื่อยีนส์ทำท่าจะตามมา แต่พิ้งค์ห้ามเอาไว้  

“ก็ได้” ยีนส์ตอบ

_________________________________________________

ตู้ม!!

กระจกเหนือบานประตูของสำนักงานกฎหมายกระจายด้วยแรงระเบิด ก่อนบานประตูด้านหน้าทั้งสองบานจะพุ่งตามออกมาในเสี้ยววินาทีอย่างไร้ทิศทาง บางส่วนลอยไปตกใส่รถที่จอดอยู่ริมถนนจนเสียงสัญญาณกันขโมยดังไปเป็นแถบ ๆ กลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งเสร็จจากงานพาร์ทไทม์กำลังเกาะกลุ่มสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกล รีบกระจายตัววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต

“นั่นมันอะไรกันน่ะ” พิ้งค์อุทานขึ้น แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ยีนส์คิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนั้น 

 “ระวังตัวด้วยนะพิ้งค์” ทั้งสองคนรีบเข้าไปหลบหลังรถคันที่อยู่ใกล้กับจุดที่มีการระเบิดมากที่สุด ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้น

ปังปัง!

ไม่กี่อึดใจต่อมา พิ้งค์และยีนส์ก็เห็นกลุ่มวายร้ายหิ้วชายรูปร่างผอมแห้งใส่แว่นคนหนึ่ง ออกมาโยนลงกับพื้นหน้าสำนักงานกฎหมาย เหมือนจะยังไม่ตาย แต่สภาพดูไม่จืด

ชายคนนั้นค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นบนเข่าทั้งสองข้าง เพียงเพื่อจะถูกตุ๊ยท้องให้ลงไปนอนคางเกยพื้นอีกครั้ง ก่อนที่ชายอีกคนจะเดินออกมาจากกลุ่มของพวกวายร้าย คนนี้ใส่ชุดสูทสีขาว ดูดีกว่าเพื่อน แต่ก็ดูน่ากลัวที่สุดในขณะเดียวกัน

“แกคงจะรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการอะไร และคนอย่างฉันก็ไม่ชอบเสียเวลากับใครนาน ๆ เพราะงั้น ลองทำให้ฉันอยากไว้ชีวิตแกหน่อยซิ” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นบอสใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เยือกเย็นและน่ากลัวกว่าเดิม พิ้งค์และยีนส์จดจ้องดูเหตุการณ์อยู่ตลอด ก่อนจะเริ่มวางแผนบางอย่าง 

นายแว่นพยุงตัวองขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะตอบ “ก.. แก ไม่มี.. วัน.. จะได้มันไปหรอก อ.. ไอ้โจรชั่ว!!” เขาพยายามยันตัวขึ้นเหมือนจะลุกขึ้นสู้ ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

“ได้มาแล้วครับบอส” ครั้งนี้เขาเหี่ยวกลับลงไปด้วยตัวเอง สองมือยันพื้นไว้ “ฮึ้ยยยย”

นายคนที่เป็นบอสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “หึ.. ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ ก๊ากกๆๆๆๆๆ สมพรปากจริง ๆ นะไอ้แว่น เอาล่ะ ถ้างั้นแกก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วสินะ” บอสยกปืนมา แล้วชี้ปากกระบอกไปที่นายแว่น

แต่แล้วก็มีเสียงประทัดดังขึ้น ปัง! ปังปัง! ปังปังปังปังปังปังปังปัง! ปังปังปัง! ปังปัง! … ปัง!

บอสโวยวายอย่างหัวเสีย “ใครมาเล่นบ้าอะไรแถวนี้วะ! ไอ้พวกโง่ รีบไปดูทางนั้นสิโว้ย”

จังหวะที่ทุกคนหาต้นตอของควันประทัดที่ฟุ้งคละคลุ้งไปทั่ว พิ้งค์ก็ได้โอกาสวิ่งเข้าไปคว้าแขนนายแว่น แล้วรีบดึงตัว
ไปหลบหลังตู้ส่งจดหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกลูกสมุนของบอสมองเห็นเลยยิงตามมา โชคดีที่มันเรียนวิชาการเล็งเสา สำหรับยิงขู่และบีบพื้นที่ให้ฮีโร่ต้องจนมุมเท่านั้น แต่ไม่เคยเรียนการยิงแบบเล็งคนเลย

“โถ่เว้ย รู้ตัวซะเร็วเชียว” พิ้งค์รีบหยิบปืนของตัวเองออกมา

“คุณ…” นายแว่นมองพิ้งค์อย่างไม่วางตา หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ชีวิตของเขาเหมือนกำลังจะดับวูบลง เขาทำใจพร้อมจะสละชีพของตัวเองเพื่อปกป้องความลับที่สำคัญยิ่งชีวิต แต่ตอนนี้ กลับมีผู้หญิงโผล่เข้ามาคว้าตัวเขาเอาไว้จากอันตราย และเป็นฮีโร่สาวสวยซะด้วย

“ก้มต่ำไว้นะคุณ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ซึ่งนายแว่นก็ดูจะไม่ได้ห่วงอะไรจริง ๆ ตอนนี้ “นี่มันอย่างกับในหนังเลย ว่ามั้ยครับ” เขาพูดทั้ง ๆ ที่ยังยิ้มไม่หุบ พิ้งค์จะชะโงกไปยิงตอบโต้ศัตรูก่อนจะก้มหลบลงมาคุยต่อ “อะไรนะคะ” 

“ก็ผมเป็นชายผู้โชคร้าย ต้องมามีเรื่องกับวายร้ายตัวฉกาจ ส่วนคุณก็เป็นฮีโร่สาวสวยที่เข้ามากุมชะตาชีวิตของผมไว้ ตามหลักแล้วถ้าเป็นในหนัง เราสองคนก็คงจะได้ฝ่าฟันอุปสรรค เสี่ยงต่างด้วยกัน แล้วตอนจบเราก็จะได้..”

“กระสุนหมด!!” ที่จริงพิ้งค์หยุดฟังนายแว่นพล่ามไปสักพักแล้ว แต่ในที่สุดก็ต้องขัดขึ้น “คุณ ถ้าฉันนับถึง 3 คุณวิ่ง
เลยนะ” นายแว่นลืมคำสั่งแทบจะในทันทีที่พิ้งค์จับมือ เขาพร้อมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเต็มที่

“หนึ่ง…” ทุกอย่างเงียบสงัดตั้งแต่กระสุนของพิ้งค์หมด ต่างฝ่ายต่างหยุดยิง “สอง…” พิ้งค์หันไปสบตานายแว่น “เฮ้ย! มีสติหน่อยได้มั้ย” เธอตบหน้าเข้าไป 1 ทีเพื่อเรียกสติ

ฟึ่มคราวนี้เป็นระเบิดควันที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกระลอก ทำเอาเหล่าวายร้ายพากันสำลัก “แค่ก ๆๆ นี่มันอะไรอีกเนี่ย” บอสโวยวาย

ยีนส์ตามมาสมทบกับพิ้งค์และนายแว่น “พวกเธอโอเคกันใช่มั้ย รีบไปกันเถอะ” ทั้งสามคนรีบวิ่งออกไปก่อนที่ควันจะจางลง ทิ้งไว้แต่ตู้ส่งจดหมายที่ว่างเปล่าให้เหล่าลูกสมุนยิงเล่นจนพรุน ก่อนจะพบว่าไม่มีใครอยู่เลย 

“หน็อย.. ไอ้พวกตัวแสบ!” บอสเตะตู้ส่งจดหมายจนหลุดจากการยึดติดกับพื้น กลิ้งลงไปนอนบนถนนที่เต็มไปด้วยเขม่าควันและเศษกระจกที่แตกละเอียด