“ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ แต่มันน่ากลัวจริง ๆ พี่ พี่ทำอะไรต้องระวังไว้นะ” หลายเดือนก่อน ไอ้โต้พร่ำเตือนผมเรื่องเบญจเพสตลอดทาง ขณะที่ผมขับรถพามันไปโรงพยาบาล
ถ้านับตามรุ่นในคณะ โต้เป็นรุ่นน้องผม 3 ปี แต่ถ้านับตามอายุจริง มันอายุ 25 ก่อนล่วงหน้าผมไปแล้วครึ่งปีได้ วันหนึ่งผมบังเอิญเข้าไปที่คณะ เห็นโต้นั่งกุมมือตัวเอง มันเพิ่งหั่นนิ้วตัวเองเกือบขาด เศษเนื้อห่ออยู่ในผ้าขาวชุ่มเลือด
ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ตัวเองเชื่อเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตแค่ไหน แต่ผมมีญาติคนหนึ่งเป็นแม่หมอที่ดูดวงเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตผมถูกเสมอมาตั้งแต่เด็ก แกทักว่าตอนเบญจเพสผมมีแววจะต้องนอนโรงพยาบาล สิ่งแรกที่ทุกคนกังวลคืออุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะผมเป็นคนขับรถเยอะมาก ไปโน่นมานี่ตลอดเวลา
ใครจะไปคิดว่าการขับรถแม่งไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นพระเอกที่พาผมรอดตายจากที่บ้าน มาตายที่โรงพยาบาลแทนต่างหาก
ตัดภาพกลับมาวันที่ 28 เมษายน ผมอยู่โรงพยาบาลมาแล้ว 14 วันเต็ม พรุ่งนี้เช้า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะได้เอ็กซเรย์ครั้งสุดท้าย และถ้าผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ หมอสมภพจะส่งผมกลับบ้าน
แน่นอนว่าตอนนี้ผมโคตรร่าเริงสุด ๆ
ผมเริ่มจัดการข้าวของทีละส่วน ตั้งแต่กระเป๋าเสื้อผ้า ของส่วนตัว จนไปถึงอาหารในตู้เย็น ช่วงที่ผ่านมาญาติสนิทมิตรสหายจากทุกสารทิศส่งของกินมาให้ผมเยอะมาก หลังจากรู้ข่าวคราวว่าผมป่วย
“ไส้กรอกหมูสองตัว” เหลืออยู่ 1 แพ็ค ผมจัดการมันทันที ไส้กรอกลงท้อง ส่วนซองลงถุงขยะ หลังจากนั้นก็แพ็คกระเป๋าจนเสร็จ เข้านอนตอนดึกด้วยจิตใจฮึกเหิมราวกับพระเจ้าตากทุบหม้อข้าว เตรียมออกไปกู้กรุงศรีฯ
ช่วงเวลาเกือบตี 4 ผมปวดฉี่เลยตั้งใจจะลุกไปเข้าห้องน้ำ เท้าซ้ายหย่อนลงเหยียบพื้น สมองสั่งการขาขวาให้เหวี่ยงตามไปพร้อมกับลำตัวที่ยกขึ้น
วื้ดด..ตึง!
ที่จริงตอนนี้ผมควรจะอยู่ในท่ายืน แต่ไม่ ผมร่วงลงมานอนราบอยู่บนเตียง สมองยังประมวลผลไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น พอจะลองครั้งที่ 2 ก็พบว่า ผมยกเข่าข้างขวาตั้งขึ้นไม่ได้ และเจ็บแปลบอย่างประหลาด
ผมเกาะเสาน้ำเกลือ ไถตัวกะเผลก ๆ ไปจนถึงห้องน้ำ ฉี่เสร็จแล้วกลับมานอนที่เตียง พลางคิดสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับหัวเข่าผมวะ นอนผิดท่าหรอ? เหน็บชา? ก็ไม่น่าจะเจ็บขนาดนี้ปะ หรือถ้าเป็นตะคริวก็น่าจะเป็นตรงน่องมากกว่ารึเปล่า
ตี 5 บุรุษพยาบาลมาเคาะเรียก ผมยังคงพยุงตัวขึ้นเองไม่ได้ อาการปวดเริ่มรุนแรง และในจังหวะนั้น ผมก็นึกได้ว่าผมกำลังเผชิญกับอะไร
“เอ็กซเรย์พร้อมแล้วนะครับ คนไข้ออกมาได้เลยครับ”
“เอ่อ พี่ครับ พอดีผมเกาต์ขึ้น ลุกขึ้นเดินไม่ได้เลยครับ”
“อ่าา… ได้ครับ งั้นรอสักครู่ เดี๋ยวผมเข้าไปในห้อง”
จากคนที่ตั้งใจรีบพุ่งออกไปเอ็กซเรย์ที่โถงทางเดินในทุก ๆ เช้า ตั้งใจจะสูดอากาศให้เต็มปอดโชว์หมอ ปิดจ๊อบการรักษาตัวแบบสวย ๆ ตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่ทุลักทุเลมาก พี่บุรุษพยาบาลต้องเอาเบาะมารองหลังจากเตียงขึ้นมาอีกชั้น หลั่งแอ่น หายใจก็ไม่ถนัด ลำตัวก็วางไม่เข้าที่
เอ็กซเรย์รอบแรก “ใช้ไม่ได้แฮะ” รอบสอง “อืม..ไม่ค่อยสวย แต่ก็โอเค” เวรละ ผมแพนิกไปหมด คือการยิงรังสีผ่านตัวมันลึกลับยิ่งกว่าถ่ายบัตรประชาชนหรือใบขับขี่หลายเท่า เราไม่มีทางได้เห็นรูปเลยว่ามันจะเข้าที่เข้าทางรึเปล่า แต่ตอนนี้พี่บุรุษพยาบาลกำลังเก็บเครื่องออกไปจากห้องแล้ว
แผ่นฟิล์มนั่นแม่งสำคัญกับผมกว่าทุกอย่างบนโลก ทิ้ง พี่จะทิ้งผมไว้กับคำว่า “ไม่ค่อยสวย แต่ก็โอเค” ไม่ได้เปล่าวะ
ในเมื่อเรื่องเอ็กซเรย์คงทำอะไรไม่ได้แล้ว งั้นเรื่องสำคัญที่สุดของผมเรื่องต่อไปก็ต้องเป็นไอ้นี่แหละ
“พี่พยาบาลครับ ผมเกาต์ขึ้น ขอยาระงับปวดได้มั้ยครับ”
“เอ่อ พยาบาลออกให้ไม่ได้นะคะ ต้องรอคุณหมอ ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้ ไม่รู้หมอจะมากี่โมง”
“แต่มันปวดมากจริง ๆ ผมไม่ไหวแล้ว ทำยังไงได้บ้างมั้ยครับ”
“งั้นกินพาราแก้ปวดก่อนแล้วกันนะคะ”
ผ่านไป 20 นาที มีเสียงเคาะประตู…ก๊อก ก๊อก
พี่ยังจะเคาะอีกหรอ!!! กูเดินไม่ได้โว้ยยย
“พี่ครับ! ผมเดินไม่ได้แล้ว รบกวนเอายาเข้ามาให้หน่อยได้มั้ยครับ” ผ่านไปอีก 10 นาที พยาบาลใส่ชุดอวกาศเข้ามา เอายาพารา 1 เม็ดมาวางให้ข้างเตียงพร้อมน้ำเปล่า
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับโรคเกาต์ ข้อที่ 1 อันที่จริงยาพาราแทบจะทำอะไรไอ้โรคนี่ไม่ได้หรอกฮะ ถ้าจะกินพารา ผมกินยาอมในกระเป๋าผมยังดีกว่า ถึงไม่หายปวดขา อย่างน้อยก็ได้ชุ่มคอ
เดี๋ยวนะ.. กระเป๋า..
เชี่ยยยยยยย!! อยู่มา 15 วัน สิ่งที่ผมไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ คือกระเป๋าสะพายของผม เพราะผมไม่ได้ต้องใช้กระเป๋าสตางค์ กุญแจบ้าน หรืออะไรที่อยู่ในนั้นเลย
ยกเว้น.. ตอนนี้ยาเกาต์ที่ผมต้องการ อาจจะอยู่ในนั้น
ผมไม่ได้ใช้สติหรือเหตุผลใด ๆ ในตอนนั้น มีแค่สัญชาตญาณที่จับตัวเองโยนลงไปที่พื้น คลานแบบทหารขาขาดในหนังสงคราม กระเสือกกระสนเอาตัวเองไปยังมุมห้อง เกาะขาโต๊ะ ปีนขึ้นไปจนมือเอื้อมถึงกระเป๋า ล้วงควานหาสัมผัสที่ควรจะเป็นซองซิปล็อคขนาดเท่าฝ่ามือ
แล้วแม่งก็อยู่ในนั้นจริง ๆ
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับโรคเกาต์ ข้อที่ 2 ยาเกาต์เป็นยาแก้ปวดที่แรงมาก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่ค่อยหยิบมากินกันหรอก และถ้าเลือกได้ ควรกินขณะท้องไม่ว่าง ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ และถึงแม้จะทำตามทุกอย่างที่ว่ามา ก็ต้องทำใจไว้ว่าอาจเกิดผลข้างเคียง เช่นการคลื่นไส้อาเจียน และท้องเสียอ่อน ๆ ได้
แต่วินาทีนี้ ผมไม่สนห่าไรทั้งนั้นล่ะ จะกินเดี๋ยวนี้ กินแม่งสองเม็ดเลยด้วย ทั้ง ๆ ที่ท้องว่างก็ช่าง ผมขอแค่หยุดความเจ็บปวดทรมานนี่ให้ได้ก่อนก็พอ
หลังจากกินยาเสร็จ ผมก็ใช้…เอ่อ ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หอบสังขารตัวเองไปถึงโซฟาได้ ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเตียง ห้องน้ำ และโต๊กะกินข้าว แสตนด์บายเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องไปไหนก่อนกัน
แต่ไม่ต้องรอนานครับ เฉลยคือสถานีต่อไปเป็นห้องน้ำ อาการท้องเสียเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่ข้าวก็ยังไม่มา
ผมกลับมานั่งพักที่โซฟาอีกครั้ง หิวเพราะตื่นเช้า แต่กับข้าวโรงบาลก็ยังไม่มา ส่วนกับข้าวแม่ที่ปกติจะมาก่อน วันนี้ก็ยังเงียบ ผมนั่งนึกเจ็บใจที่ตัวเองกินไส้กรอกนั่นหมดตั้งแต่เมื่อคืน เพราะตอนนี้หิวชิบหายเลย
เดี๋ยวนะ.. ในเมื่อโรงพยาบาลก็รู้ว่ากูเป็นเกาต์ แม่ก็รู้ แล้วกับข้าวก็โคตรจะคลีน ผมอยู่ของผมมาดี ๆ 14 วัน ทำไมมาเป็นเกาต์วันสุดท้ายวะ
ผมแกะถุงขยะดู แล้วหยิบถุงไส้กรอกขึ้นมาอ่าน
“เนื้อหมูผสมไก่ 70%”
ไอ้สัส! มึงชื่อผลิตภัณฑ์ว่าไส้กรอกหมู และเป้นยี่ห้อที่มีหมูตั้งสองตัวยืนขี่กันอยู่บนหน้าซอง มึงจะผสมไก่เพื่อออออ!!!!!
***(จากการอ่านวิจัยในปี 2025 พบว่าเนื้อไก่บางส่วนเช่น เนื้ออก ก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเกาต์ ทั้งนี้ แม้จะไม่ได้ทราบว่าเนื้อไก่ในไส้กรอกเป็นส่วนไหน แต่การกินอาหารแปรรูปก็ส่งผลเสียเช่นกัน ผู้อ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารญาณและหาข้อมูลความรู้ทางโภชนาการเพิ่มเติม ทั้งนี้ผู้เขียนเล่าไปตามความรู้สึกและความรู้ความเข้าใจที่มีต่อโรค ณ เวลานั้น)***
8 โมงเช้า อาหารมาส่ง ผมยังคงไถตัวไปด้วยเสาสายน้ำเกลือ และขี้แตกไปแล้ว 3 รอบ หยิบกล่องข้าวเข้าห้องมา แล้วพบกับข้าวต้มหมู
ในบรรดาทุกเมนูที่ผมฝืนกินมาของโรงพยาบาล ข้าวต้มคือเมนูที่แย่ที่สุด น้ำแกงที่ไม่ควรจะมีคำว่าแกง เพราะมันคือน้ำเปล่า ราดใส่ข้าวแข็ง ๆ และหมูที่เคี้ยวยังไงก็ไม่เจอรสชาติ ผมรู้ตัวดีว่าผมกำลังป่วยและไม่มีสิทธิ์เรื่องมากในตอนนี้ แต่ลิ้นเจ้ากรรมแม่งก็ยังเลือกกินจนวินาทีสุดท้าย ผมโทรไปหาแม่ และได้ความว่ากับข้าวเสร็จแล้ว พ่อกำลังขับมาส่ง
9 โมง ผมรู้ว่า ข้าวแม่มาถึงแล้วสักพักใหญ่ ๆ แต่ก็ยังไม่มีคนเอาขึ้นมาให้ ผมพยายามโทรหาพ่อ แม่ หรือทำอะไรก็ได้เพื่อรู้ความเคลื่อนไหวของด้านล่าง ซึ่งพบว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย วันนี้มีองค์กรแห่งหนึ่งนำเงินช่วยเหลือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มาบริจาคให้โรงพยาบาล แล้วก็มีการถ่ายรูปรับมอบกันอยู่ด้านล่าง
คือ.. ผมก็สนับสนุนการทำความดี การช่วยเหลือกันและกันในยามวิกฤติ โดยเฉพาะการผ่านชีวิตในโรงพยาบาลเข้าวันที่ 15 เนี่ย ผมก็อยากจะร่วมยินดีกับทุกคนมาก ๆ เลย
แต่ไม่ใช่ตอนนี้!! พี่จะถ่ายรูปกันจนลืมเอาข้าวมาให้ผมไม่ได้!!! อย่ามาเล่นกับใจคนปอดสีขาว ปวดเก๊าต์ ท้องเสีย และโมโหหิวนะเฟ้ยย
ข้าวของแม่มาถึงในเวลา 10 โมง ซึ่งเท่ากับ 5 ชั่วโมงนับจากที่ผมลุกมาเอ็กซเรย์ ความเหนื่อบ ความยม และความหิวโหยแม่งก่อตัวชนิดที่ถ้าเป็นพลังไซย่าผมน่าจะหัวตั้งเป็นร่างสุดยอดแน่นอน
แต่หลังจากผมตักข้าวเข้าไปได้แค่ 3-4 คำ
แพร่ด..
ใช่แล้ว ผมรู้สถานการณ์ทันที วางช้อน แล้วรีบไถเสาน้ำเกลือไปห้องน้ำอย่างเร็วที่สุด
สภาพร่างกายผมรอดกลับออกมาครบ 32 แต่กางเกงไม่เหลือ และนั่นคือชุดผู้ป่วยชุดสุดท้ายที่มีในห้อง ผมเลยต้องเปลี่ยนเอาชุดกลับบ้านที่เตรียมไว้ออกมาใส่ก่อนกำหนด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้จะได้กลับมั้ย พยายามสงบจิตใจและท้องไส้ตัวเอง ด้วยการหันไปเฝ้ารอโทรศัพท์หมอสมภพอย่างเงียบ ๆ
กริ๊ง! กริ๊ง! “สวัสดีครับคุณอริญ หมอสมภพนะ วันนี้เป็นไงบ้าง”
อืม..ผมว่าผหมอบอกสิ่งที่หมอรู้มาดีกว่า หมอไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าเช้านี้ผมเจออะไรมาบ้าง
“ก็โอเคครับ แล้วผลเอ็กซเรย์…”
“อ๋อ ก็โอเคนะครับ ดูไม่แย่ลง งั้นตามที่หมอบอกเนาะ เดี๋ยวไว้อีก 4 สัปดาห์มาเจอกันอีกที วันนี้กลับบ้านได้ครับ”
เห้ออออออออ ผมโล่งใจเหมือนยก เอฟเวอเรสต์ เม้าท์รัชมอร์ ฟูจิ และเทือกเขาพงพญาเย็นออกจากอกพร้อม ๆ กัน มันหักลบกลบหนี้กับทุกอย่างในเช้าวันนี้ได้หมดเลยจริง ๆ ผมต้องการ แค่คำนี้คำเดียว “กลับบ้าน”
พยุงตัวกลับไปเก็บขยะและสัมภาระที่เหลือเป็นครั้งสุดท้าย เอาทุกอย่างมากองรวมกันที่เตียง พี่พยาบาลบอกว่ามีเอกสารให้กรอกมาวางไว้หน้าห้อง ผมก็เลยกะเผลกออกไป ใส่ถุงมือกันเชื้อก่อนหยิบปากกาเซ็นรับทราบในทุกช่อง และกลับเข้าห้องมานั่งรอฝ่ายการเงิน ให้เคลียร์ค่าใช้จ่าย เสร็จแล้วจะมีคนมาช่วยขนของ พาผมไปเอารถ และกลับบ้าน
กริ๊ง! กริ๊ง! “สวัสดีค่ะ คุณอริญ ง่ายการเงินนะคะ พอดีว่า มีค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ต้องชำระน่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ ผมมีเพื่อนบางคนที่ติดโควิดในช่วงใกล้ ๆ กัน เราแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหลายอย่าง เช่น อาการ ยาที่กิน หรือแลกเปลี่ยนความเบื่อ หาเรื่องคุยกัน แน่นอนว่าต่างคนต่างนอนอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครมาเยี่ยมทั้งคู่ มันก็พอจะมีเวลาให้เม้าท์กันได้ยาวอยู่ ถ้าผมไม่หอบจนคุยไม่ไหวเสียก่อน
และสิ่งที่ผมแลกเปลี่ยนมาล่าสุด คือเพื่อนผมได้กลับบ้านแล้ว และแม่งส่งบิลค่ารักษามาให้ดู คือประมาณเกือบสองแสนบาท แต่ประกันจ่ายให้
ประกันโควิดผมหมดอายุไปแล้ว ส่วนประกันสังคมก็จากไปพร้อมกับงานประจำ ด้วยความที่ตอนนั้นผมไม่รู้ข้อมูลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการใด ๆ เลย ผมเลยกลัวขึ้นสมองมากว่าผมจะมีปัญญาจ่ายมั้ย ถึงแม่จะยืนยันว่าเขาบอกโควิดรักษาฟรี ไม่ต้องจ่าย
แต่ตอนนี้ผมกำลังโดนฝ่ายการเงินขู่ว่าถ้าไม่จ่าย ก็จะไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล
“ค่าส่วนต่าง..นี่ เท่าไหร่หรอครับ”
“สองร้อยสี่สิบบาทค่ะ เป็นค่าน้ำดื่มที่เกินมาค่ะ”
“ส..หืม เท่าไหร่นะครับ”
“สองร้อยสี่สิบบาทค่ะ คุณอริญสะดวกโอนเลยมั้ยคะ”
“บอกเลขบัญชีมาเลยครับ ธนาคารอะไรนะครับ…โอเค ครับ แอดไลน์การเงินนะครับ…ครับผม ส่งสลิปแล้วครับ ขอบคุณมากครับ”
แม่งเอ๊ย หมอนะหมอ บอกให้กินน้ำเยอะ ๆ ทุกวัน แล้วมาเซอร์ไพรส์กันแบบนี้ ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะโดนสองแสนซะแล้ว
ตรงนี้ขอแบบรวบรัดเลยแล้วกัน ผมถูกครอบกลับเข้าไปในถุงมือ ถุงใส่เท้า เดินกะเผลกเข็นกระเป๋าเดินทางย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมที่น่ากลัวน้อยลงหน่อยในตอนกลางวัน โผล่ออกมาที่ลิฟต์ใต้เดินหลังโรงพยาบาล แวะเป็นตะคริวกลางทาง 2 ครั้ง ออกไปเจอรถตัวเองที่แบตหมดเพราะจอดทิ้งไว้นานเกิน สุดท้ายพ่อเลยมารับกลับบ้าน ด้วยการฉีดแอลกอฮอล์อัดใส่ผม แล้วให้นั่งเบาะหลัง เปิดกระจกปิดแอร์ ขับกลับบ้าน
แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจคือ ภาพตอนที่เดินออกมาผ่านวอร์ด แล้วเห็นพี่พยาบาลทำงานกันอย่างวุ่นวายและสภาพอิดโรย
ตอนอยู่ในห้องผู้ป่วย ผมคือสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีตัวตน และสำคัญที่สุดในจักรวาลสี่เหลี่ยมนั่น ผมหงุดหงิด ผมท้อใจ ผมโมโหหิว ผมป่วย และผมเจ็บเวลาโดนเจาะเลือด เหล่าหมอและพยาบาลกลายเป็นตัวประกอบที่โผล่เข้ามาในเรื่องเล่าของผม เป็นตัวรองรับอารมณ์ที่ผมเล่าให้เป็นตัวร้ายบ้าง ตัวตลกบ้าง
แต่ในความเป็นจริง ผมน่าจะนอนตายอนาถอยู่ที่บ้านคนเดียว ถ้าไม่ได้มาที่นี่
แล้ววันนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า พวกเขาสู้เพื่อคนอื่นมากแค่ไหน ผมเดินผ่านประตูบานแล้วบานเล่ากว่าจะมาถึงทางออก เชี่ย นี่มีคนที่เรียกร้องขอความช่วยเหลือทั้งวันทั้งคืนแบบกูอีกกี่คนวะ แล้วพี่ ๆ เขามีกันกี่คน
ผมไม่แน่ใจว่าพยาบาลมีทั้งหมดกี่คน แต่เกือบทุกคนที่อยู่เวรในตอนนั้น กำลังยืนตั้งแถวหน้ากระดาน ใส่แมสก์แต่ยิ้มตาสระอิทุกคน ปรบมือแล้วส่งเสียงให้กำลังใจ…ผม
“ยินดีด้วยนะคะ กลับบ้านดี ๆ น้า”
เชี่ย รู้สึกผิดจนน้ำตาแม่งเอ่อขึ้นมาเลย
ผมส่งข้อความไปในไลน์ของวอร์ดพยาบาล และส่งอาหารไปเลี้ยงพี่ ๆ ที่วอร์ดเป็นการขอบคุณ ที่อดทนกับผมมาตลอด 15 วัน ตอนนี้เด็กดื้อหายไปหนึ่งคน แต่ก็ยังมีผู้ป่วยที่ต้องหมุนเวียนเข้ามาให้พวกเขาดูแลอีกมากมาย
ส่วนผม ก็ได้กลับไปสู่อ้อมอก…เอ่อ ที่จริงก็ยัง แค่ได้กลับไปอยู่ร่วมชายคากับพ่อแม่ กักตัวต่ออีก 1 เดือน สิริรวมแล้วผมไม่ได้สัมผัสมนุษย์ไป 2 เดือนกว่า ครั้งแรกที่ออกจากห้อง ออกจากบ้าน ไปเซเว่น ผมแทบจะหลอนจนไม่กล้าจับอะไรเลย เพราะที่ผ่านมาต้องใส่ถุงมือตลอดเวลา จะคุยกับใครต่อหน้าก็ไม่กล้าคุย หรือพอเริ่มกลับมาเจอเพื่อน ๆ ก็จะคุยไปทำอย่างอื่นไป เพราะเคยชินกับการคุยโทรศัพท์และไม่สบตาหรือไม่ได้โฟกัสมนุษย์มาก เรียกได้ว่า เหมือนผมต้องเรียนรู้การปรับตัวกลับเข้าสู่สังคมใหม่เลย
แต่ก็ดีที่ผ่านมาได้ ออกมาได้ ยังไม่ตาย และที่สำคัญ ปอดผมก็ค่อย ๆ กลับมาดีขึ้น ฝ้าจางลง ไม่เป็นผังผืด หลังเอ็กซเรย์ครั้งสุดท้ายในเดือนถัดมา ผมก็เป็นอิสระจากโควิดอย่างเป็นทางการ
.
.
.
“เบญจเพสผมไม่แพ้คุณแล้วนะ” ผมโทรหาไอ้โต้เป็นคนแรก ๆ หลังจากอาการดีขึ้น
“พี่! ของผมกระจอกไปเลย ของพี่พอแล้ว”
“จริง แพ็คเกจพรีเมี่ยมเลยว่ะ 5555”
“ยินดีด้วยนะพี่ แข็งแรงไว ๆ ครับ”
จนถึงตอนนี้ ถ้าถามว่าผมคิดยังไงเบญจเพส ผมก็คงบอกว่า ผมไม่ได้กลัวความตาย ไม่ได้กลัวเรื่องโชคชะตาหรืออาถรรพ์ เท่ากับกลัวคนเดินมาถามว่า “คุณขี้แตกคากางเกงครั้งสุดท้ายตอนอายุเท่าไหร่”
ตัว-ตัว กับโควิด EP.5 เบญจเพส
3/6/2568
ขอ Write นะครับ

20 ครั้ง
📖 อ่านเป็นซีรีส์ได้


เขียนโดย ขอ Write นะครับ
มีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะเต็มไปหมด มีพื้นที่แล้วก็ ขอ Write หน่อยนะครับ