ขอแนะนำตัวละครก่อนสักนิดนึง ผมชื่ออาร์มี่ เป็นฟรีแลนซ์ในแวดวงการผลิตสื่อ ใจรักในการทำเพลง และมีโรคประจำตัวคือเป็นเก๊าต์
และเหตุการณ์ต่อไปนี้ บันทึกจากตัวผมในวัยเบญจเพสพอดิบพอดี อาจมีช่วงเวลาที่ความคิดหรืออารมณ์ของผมไหลไปตามสถานการณ์ ณ ตอนนั้นบ้าง อยากนำมาแชร์ให้ทุกคนได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวตอนนั้น แต่ไม่ได้มีเจตนาจะว่าร้ายใครนะครับ
ผมบังเอิญลาออกจากงานประจำตอนต้นปี 2020 ด้วยใจมุ่งมั่น อยากตามฝันไปเป็นนักแต่งเพลง แต่เป็นฟรีแลนซ์ได้แค่ 2 เดือน ประเทศไทยก็เข้าสู่การล็อคดาวน์จากโควิด-19 ผมเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ด้วยการขายของสะสมเก่า ๆ ในบ้าน และทำงานตัดต่อวิดีโอที่นาน ๆ จะเข้ามาที โอกาสก็มีไม่ได้มากนัก
พอเข้าปี 2021 สภาพการเงินผมร่อแร่ถึงขีดสุด ทำให้ผมปฏิญาณตนว่าจะรับงานทุกอย่างที่เข้ามาอย่างเลือกไม่ได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
7 เม.ย. ผมไปทำงานที่ตึกออฟฟิศแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ
งานที่ทำวันนี้คือการออดิชั่นหานักแสดง ศิลปินหน้าใหม่เข้าสังกัดของบริษัทผลิตซีรีส์แห่งหนึ่ง หน้าที่ของผมคือการเข้าไปสัมภาษณ์ผู้เข้าประกวดที่รออยู่ด้านนอก คอยถามว่า มาจากจังหวัดอะไร ตื่นเต้นรึเปล่า เตรียมตัวอะไรมาบ้าง
แน่นอนว่านั่นทำให้ผมต้องเอาไมโครโฟนไปจ่อคนเกือบ 100 คนในวันนั้น และถือไมโครโฟนนั้นติดตัวตลอดเวลา รวมถึงวางมันไว้ข้าง ๆ ตอนเบรกกินข้าว
8 เม.ย. พอนาน ๆ ได้ออกจากบ้านทีก็เหนื่อยเหมือนกันแฮะ ทำไมมันเพลียได้ขนาดนี้ ปกติถ้านอนตื่นเที่ยงนี่ควรจะอิ่มได้แล้วนะ นี่ยังมึนทั้งวันเลย
9 เม.ย. ตื่นเช้ามายังเพลียไม่หาย เปิดไลน์ดูก็พบว่า พ่อแม่ออกจากบ้านไปตรวจโควิดแต่เช้า พ่อไปเจอคนที่ติดเชื้อมา แล้วทั้งสองคนก็กินนอนอยู่ด้วยกันตลอด เพื่อความสบายใจ พ่อกับแม่เลยตัดสินใจไปกักตัวที่อีกบ้านหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยของผม
10 เม.ย. ผลตรวจพ่อกับแม่ออกมาเป็นลบ ไม่พบเชื้อ แต่กูไข้ขึ้น ยังเพลียเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือปวดหัว ผมยังไม่ได้เริ่มตัดวิดีโอที่ถ่ายมาวันนั้นเลย เกลียดเวลาตัวเองไม่สบายจนทำงานไม่ได้จริง ๆ
ตกดึกประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ ไลน์กลุ่มทีมงานก็เด้งขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าโดนทวงงานแน่ ๆ แต่ไม่ใช่ “มีเรื่องจะแจ้ง แต่ทุกคนอย่าเพิ่งแพนิกนะ มีน้องที่มาออดิชั่นตรวจพบเชื้อโควิด แต่ทุกคนรออีก 3-5 วันแล้วค่อยไปตรวจก็ได้ เชื้ออาจจะยังไม่ฟักตัว อาจจะยังไม่แพร่..”
หลังจากนั้นผมไม่ได้อ่านข้อความยาว ๆ ต่อแล้วล่ะ เพราะผมคิดว่าอย่างของผมนี่ไม่ได้แพนิกแน่นอน อาการอย่างชัด
11 เม.ย. ไข้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มปวดจากหัวลามมากระบอกตา จอแสดงอุณหภูมิในที่วัดไข้ขึ้นเป็นสีเหลืองด้วยตัวเลข 37.6 คือถ้าโควิดแม่งเข้ามาฟักตัวอยู่ในร่างกายผม ตอนนี้มันฟักเสร็จแล้วล่ะ ผมคงต้องไปตรวจได้แล้ว
ผมไปแล็บแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน นั่งทรมานจากพิษไข้ รายล้อมด้วยป้าที่ใส่แมสก์ตอนปกติ แต่เปิดแมสก์ออกมาไอข้างนอกทุกสองนาที (เพื่อ?) และเด็กวัยประถมที่ช่างสงสัยช่างถามแม่งทุกเรื่อง วิ่งเล่นกันเสียงดังตลอดเวลา เหล่าคนที่ไม่รู้ไปคิดถึงกันมาจากไหน มาเจอกันเพราะโดนบังคับให้มาตรวจโควิด ดีใจที่ได้เจอขนาดคุยกันไม่พอ ยังมาสะกิดขอให้ถ่ายรูปหมู่ให้จะเอาไปส่งหาเพื่อนอีกต่างหาก
คือ.. พวกพี่จะเอนจอยกันไปไหน ไม่ได้กลัวใครแพร่เชื้อเลยหรือไง และไม่มีใครมีไข้แบบกูเลยหรอ?
12 เม.ย. ผลออกมา บวกทุกตัว หึ ขอให้โชคดีนะไอ้พวกที่ถอดหน้ากากมาเรียกให้กูถ่ายรูปน่ะ
ผมตั้งใจจะเขียนไทม์ไลน์ลงเฟซบุ๊กเพื่อบอกว่าใครที่ไปในที่ใกล้เคียงกับผมให้เฝ้าระวังสังเกตอาการ แต่ก็พบว่า ทั้งก่อนและหลังวันที่ไปทำงานที่ทองหล่อ “กูไม่ได้ออกไปไหนทั้งเดือนเลยนี่หว่า” ชัดละ
วันนั้นผมพยายามจะโทรติดต่อโรงพยาบาลที่ทำประกันสังคมไว้ “สวัสดีครับ คือผมไปตรวจโควิดมา แล้วมีประกันสังคมอยู่ที่นี่เลยจะ…”
“อ๋อ งั้นเดี๋ยวโอนสายให้คุยกับฝ่ายสิทธิประโยชน์ประกันสังคมนะคะ” ตู๊ด ตู๊ด
“คือผมไปตรวจโควิดมา..”
“คือทางเราไม่รับผลจากแล็บนอกนะคะ แล็บของน้องไม่ได้เซ็น MOU กับ รพ. ค่ะ”
“งั้นผมขอตรวจ..”
“ตอนนี้ไม่รับตรวจเลยค่ะ งดแบบไม่มีกำหนด เพราะถึงตรวจก็ไม่มีเตียงให้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
เออ ตรวจแล้วต้องรับ แต่รับไม่ได้ เลยไม่ให้ตรวจซะเลย แก้ปัญหาถูกจุดดีว่ะ
13 เม.ย. ผมเลือดกำเดาไหลตอนเช้า อันที่จริงอาจเกิดจากเส้นเลือดฝอยที่เปราะอยู่ และอากาศที่ร้อนจัด ผมไม่ตื่นเต้นกับมันเท่าไหร่ แต่การต้องคอยก้ม ๆ เงย ๆ เช็ดเลือดที่ไหลไม่หยุด ระหว่างที่ไข้ขึ้น ก็เล่นเอามึนเหมือนกัน
พ่อโทรมาบอกว่า ติดต่อโรงพยาบาลได้ที่หนึ่ง เขาให้ไปเทสอีกรอบ ถ้าผลขึ้นว่าติดเขาจะรับเข้ารักษาเลย มีห้อง
ผมก็เลยฝืนสังขารขับรถไปที่โรงพยาบาล พอไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่สองคนใส่ชุดอวกาศออกมาทำการตรวจให้แบบ Drive Thru ลืมคิดไปเลยว่าเมื่อเช้าเพิ่งเลือดกำเดาไหลมา พอเจอแยงจมูกเข้าก็เลยจามออกมา เลือดสาดเป็นหนังสงครามเลยทีนี้ พยาบาลหน้าเสียเพราะคิดว่าแทงที่ตรวจเข้าไปจนทำผมเลือดออก ได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร เช็ดเลือดตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ขับรถกลับบ้าน
ตกเย็นอาการยิ่งตกต่ำ ลองยิงหน้าผากดู 38 เข้าไปแล้ว หน้าจอกลายเป็นสีแดง ทำสถิติสีใหม่ 2 ครั้งในรอบ 2 วัน
ตกดึกผมตื่นมาด้วยความหนาวสั่นทั้งที่ไม่ได้เปิดแม้แต่พัดลมแล้วด้วยซ้ำ ไข้ 38.2 ต้องเช็ดตัวว่ะ ค่อย ๆ พยุงร่างตัวเองเดินลงจากชั้น 2 ลงไปเก็บผ้าที่ตากอยู่นอกบ้าน อากาศก็เย็น น้ำอุ่นก็ไม่มี ต้องปีนกลับขึ้นมาที่้ห้องนอน กว่าจะยกกะละมังน้ำมาเช็ดตัวเองได้ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ให้ความรู้สึกชั่วกัปชั่วกัลป์
14 เม.ย. ผมโยนงานให้คนอื่นทำ สั่งเสียทุกอย่างเรียบร้อย ไข้ขึ้นไป 39 ครั้งแรกในชีวิต ผมแอบกลัวว่าเครื่องมันจะระเบิดมาก มนุษย์เราสามารถตัวร้อนถึง 39 ได้จริง ๆ หรอ ตอนนั้นเป็นความรู้ใหม่ของผมเลย
สี่ทุ่มกว่า ผมตื่นมาอีกครั้ง แต่วันนี้ไม่มีแรงเช็ดตัวให้ตัวเองแล้วด้วยซ้ำ ถ้ายังเป็นแบบเมื่อคืนอีก กูเป็นศพเน่าวิญญาณสิงคาบ้านนี้แน่ ๆ ผมตัดสินใจโทรไปหาพี่พยาบาล
“สวัสดีครับ ขอโทษที่โทรมาตอนนี้ คือไข้ผมสูง 39 แล้วคัรบ”
พี่พยาบาลตอบกลับมา “อ๋อ น้องที่มาตรวจเมื่อวันก่อนใช่มั้ยคะ ผลออกแล้วค่ะ พี่ว่าจะโทรแจ้งพรุ่งนี้อยู่พอดี แต่ตอนนี้ไข้สูงมากเลยใช่มั้ย”
ต้องตอบว่าไงดี 39 ก็พอตัวอะครับ ไม่ได้อยากจะอวดเท่าไหร่
“ผมขอแอดมิทเลยได้มั้ยครับ”
“อ๋อได้ค่ะ เพราะผลออกแล้ว ว่าแต่ น้องมาเองไหวมั้ยคะ พอดีรถพยาบาลไม่ได้วิ่งแล้วอะค่ะ”
ถึงตรงนี้ บางคนอาจจะคิดว่าผมจะหงุดหงิดโมโหหรือโวยวาย เรื่องที่ผลออกแต่ยังไม่ยอมโทรบอกผม หรือการที่ไม่มีใครมารับ แต่ผมพยายามจะเข้าใจทุกอย่าง และหลังจากประมวลผลทุกอย่างภายใน 3 วินาที ผมก็ตอบไปว่า “เดี๋ยวผมไปเองได้ครับ” พลางต่อท้ายในใจว่า แต่หลังจากนั้นช่วยเอาชีวิตผมไปรับผิดชอบต่อให้ด้วย
กวาดของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็น รวบรวมสติและกลั้นใจเอาพลังเฮือกสุดท้าย ขับรถพาตัวเองไปจนถึงโรงพยาบาลในเวลาเกือบเที่ยงคืน
ตัว-ตัว กับโควิด EP.1 ไทม์ไลน์
26/5/2568
ขอ Write นะครับ

7 ครั้ง
📖 อ่านเป็นซีรีส์ได้


เขียนโดย ขอ Write นะครับ
มีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะเต็มไปหมด มีพื้นที่แล้วก็ ขอ Write หน่อยนะครับ