“ฮัลโหล เป็นไงบ้างลูกชาย”

“อืม..ก็ดี..ครับพ่อ..ตอนนี้..เวลาจะถามอะไร…ให้รอ…ซัก 3-5 วิ…นะ……อาจจะตอบ….ช้าหน่อย”

“เน็ตโรงบาลไม่ดีหรอ”

“เปล่า…ต้องหายใจ….ลึกๆ ก่อน….อาจจะตอบได้ทีละสั้นๆ”

“อ๋อ โอเคได้ๆ ค่อยๆคุย แล้วหมอว่ายังไงบ้าง”

บอกตามตรงว่า ผมรำคาญมาก ๆ แต่ไม่ได้รำคาญพ่อแม่หรือเพื่อน ๆ ที่คอยมาถามอาการผมหรอกนะ ผมอยากเล่ามาก อยากคุยกับคน ผมจะเป็นบ้าตายในห้องสี่เหลี่ยมไร้การเคลื่อนไหวนี่

แต่ผมรำคาญที่ตัวเองพูดได้ไม่เกิน 5 คำแล้วก็รู้สึกเหมือนลมหมดปอด ต้องคอยหายใจเข้าตลอดเวลา

หมอสมภพบอกว่า ปกติเวลาเอ็กซเรย์นั้น ปอดเราควรจะถูกยิงทะลุไป เห็นเป็นสีดำ ๆ ตามสีของแผ่นฟิล์ม แต่ของผม ขาวจั๊วะเลย

ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจกับคำว่า “ปอดขาวจั๊วะ” มันน่ากลัวยังไงในทางการแพทย์ เลยลองส่งให้เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่ทำงานเกี่ยวกับเทคนิครังสีในโรงพยาบาล

“จริง ๆ ถึงกูดูแล้วรู้ว่าเป็นยังไง กูก็วินิจฉัยมึงไม่ได้นะ มันผิดจรรยาบรรณ”

“เอาเถอะ งั้นมึงบอกอะไรกูได้บ้าง”

“ตั้งแต่กูดูปอดคนเป็นโควิดมา 20 กว่าเคส ของมึงดู..เหี้ยสุดเลย”

นี่ขนาดมันมีจรรยาบรรณนะ…

“งั้นขออีกคำถาม ปอดขาวนี่น่ากลัวแค่ไหน”

“ก็ กรณีที่แย่ที่สุดเลยนะ มันอาจจะเป็นผังผืดในปอด ซึ่งแปลว่าจากนี้ตลอดชีวิต ปอดมึงจะกากกว่าคนทั่วไป มึงเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคหรือมะเร็งปอดกว่าคนปกติ ซึ่งกูว่าอันตรายสุดแล้ว คือสมมุติว่ามึงเป็นมะเร็งตับ มึงอาจจะไม่ตายนะ แต่ถ้ามะเร็งแดกปอด คือไม่มีใครเขารอดกันเท่าไหร่ แล้วก็ แน่นอนว่ามึงจะร้องเพลงหรือเล่นละครเวทีแบบที่ทำอยู่ไม่ได้อีกเลย”

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีเพื่อนเป็นบุคลากรหรือมีความรู้ทางการแพทย์ บางครั้งก็น่ากลัวกว่าการป่วยแล้วเสิร์ชกูเกิ้ลเสียอีก ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกมั้ยที่ทักไปถามมัน แต่ก็คงเป็นข้อมูลที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีในอนาคตอันใกล้

เมื่อเข้าใจสถานการณ์ตัวเองแบบนี้แล้ว ผมก็พยายามจะตั้งสติ และทำทุกอย่างด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นมากขึ้น ถึงพฤติกรรมจะเหมือนเดิม กินยา สูดออกซิเจนผสมน้ำยาทุก 6 ชั่วโมง นอนเยอะ ๆ ขยันบริหารลมหายใจเข้าออกอย่างมีสมาธิแทบจะมากกว่าตอนบวช ผมคิดแต่ว่าต้องหายให้ได้

ไอ้โควิด มึงจะพรากอะไรไปจากชีวิตกูก็ได้ แต่ห้ามเอาการร้องเพลงไปเด็ดขาด

ผมรักในการร้องเพลง เล่นดนตรีมาทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้ รักมากจนไม่กล้าเรียนดุริยางค์เพราะกลัวว่าการซ้อมดนตรีหนักเกินไปจะทำให้ไม่มีความสุข แล้วจะพาลเกลียดมัน

ซึ่งที่จริงมันก็คงเป็นข้ออ้างแหละ ลึก ๆ แล้วผมไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะอยู่กับการทำงานด้านดนตรีได้ตลอดรอดฝั่ง แค่มองไปที่เพื่อนไม่กี่คนรอบตัวก็เก่งกว่าผมกันไปไกลหลายเท่าตัว ผมคิดว่าผมกระจอกงอกง่อยเสียจนต้องเก็บความรักใส่กล่องไว้เป็นงานอดิเรกแก้เหงา

แล้วถ้าสิ่งที่รัก สิ่งที่คิดว่าทำพอได้ แต่ไม่ดีเท่าคนอื่น มันดันไม่ดีพอ และล้มเหลวล่ะ ผมจะเหลืออะไร

แต่หลังจากหลายปีที่ได้ออกไปสะบักสะบอมอยู่ในวงการสื่อหลายรูปแบบ จนได้โอกาสแบบงง ๆ มาทำเพลง แล้วกลายเป็นงานหลัก ในที่สุดผมลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำสิ่งที่ผมรักเต็มตัว

ที่ทำไม่ใช่เพราะตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว หรือชนะใครได้ แต่เพราะผมรู้แล้วว่าผมไม่จำเป็นต้องเป็นเบอร์ 1 หรือ 2 หรือแม้กระทั่งเบอร์ 100 ของวงการ ผมเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ คนนึงที่ทำในสิ่งที่รัก มีเงินตอบแทน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมาย เท่านั้นก็คงพอ

ผมยอมทิ้งความมั่นคงทางการเงิน กระโดดลงทะเลฝ่าพายุคลื่นของภาวะเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ก่อนโควิด จนมาถึงช่วงแรกของการระบาด มันสาหัสจนแทบบ้า แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนใจจากคำตอบเดิมที่ว่า ผมอยากทำเพลงต่อไป นี่คือการเดิมพันที่สูงที่สุดในชีวิต และกลายมาเป็นเรื่องที่เซนสิทีฟที่สุดของผมในตอนนั้น

เพราะฉะนั้น ไอ้โควิด มึงจะมาเอาปอดกูไปแบบนี้ไม่ได้

ผมออกกำลังกายอ่อน ๆ บริหารการหายใจเท่าที่จะทำได้ หาข้อมูลจากทุกทิศทุกทาง ฝึกกลั้นหายใจ สูดออกซิเจน ตื่นแต่เช้ามารอพยาบาลเรียกเอ็กซเรย์ ตั้งใจถ่ายเหมือนถ่ายบัตรประชาชนที่จะต้องใช้ไปตลอดชีพ ทำทุกอย่างอย่างมีความหวัง เพียงแค่จะได้รับอะไรก็ได้ที่เป็นสัญญาณที่ดีจากคุณหมอ ที่โทรมาวันละครั้ง

แล้ววันนึงผมก็เริ่มสังเกตว่า ผมคุยโทรศัพท์เป็นประโยคได้มากขึ้น มีแรงลุกไปทำอะไรไหว ไอ้อะไรที่ว่า ก็คือการไล่จัดเก็บขยะทั้งจากอาหารที่ทุกคนส่งมาเยี่ยม รวมถึงยาแต่ละชนิดที่บรรจุหีบห่อมาแตกต่างกัน อย่างน้ำยาของออกซิเจนก็จะมีขวดน้ำยา มีฝา มีฟรอยด์ห่อ แกะกันหลายชั้นกว่าจะได้สูด และของใช้แล้วทิ้งอีกมากมาย

การที่ผมทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่หอบ แล้ว หมอสมภพดูจะพอใจกับมัน ตอนที่เล่าให้ฟัง ก็อาจนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี รู้สึกภูมิใจเหมือนไอ้พวกเด็กหน้าห้องที่ยิ้มหน้าบานตอนตอบคำถามถูกใจครูแล้วครูชม

“อืม เดี๋ยวอีกสองวันมาลองดูกันนะ” หมอสมภพบอกผมในเช้าวันนึง

ลองดู…คืออะไร ลองอะไร จะทำอะไรกัน จะพาผมออกไปหรอ ผมจะหายแล้วหรอ การรักษามันคืบหน้าแล้วใช่มั้ย คำถามในหัวเต็มไปหมด แต่ผมตอบไปแค่ว่า “ได้ครับหมอ”

แล้ววันรุ่งขึ้นสัญญาณที่ผมรอคอยก็มาถึง

“เอาล่ะ ที่จริงหมอที่เอ็กซเรย์เขาก็ยังไม่ค่อยพอใจมากนะครับ เพราะมันยังมีฝ้า ๆ อยู่ แต่หมอคิดว่า ถ้าคุณอริญไม่เหนื่อย อาการดีขึ้นประมาณนี้แล้ว หลังยาครบโดส หมอว่าจะให้กลับบ้าน”

เชี่ย.. ผมไม่ได้คาดหวังจะได้ยินคำนั้นด้วยซ้ำ

ผมแค่อยากรู้ว่าปอดผมจะกลับมาร้องเพลงได้ ผมอยากหาย แต่ผมลืมคิดไปเลยว่า ผมอยู่โรงพยาบาลมานานแค่ไหน รวมกับช่วงที่ป่วยแล้วกักตัวอยู่บ้านเอง ผมไม่ได้สัมผัสมนุษย์มาจะครบเดือนแล้ว (นอกจากตอนโดนเจาะเลือด)

นี่ผมกำลังจะได้ออกจากห้องสี่เหลี่ยมนี่ ไปเจอพ่อเจอแม่แล้วจริง ๆ หรอ น้ำตาแม่งจะไหล ในใจอยากกรี๊ดออกมา แต่ก็เกรงใจปอดตัวเอง และเกรงใจหมอสมภพที่อยู่ปลายสาย

“ส่วนที่ขาว ๆ เนี่ย หมอต้องบอกก่อนว่า มันอาจจะเป็นผังผืด ซึ่งถ้าใช่ก็แย่หน่อย แต่ถ้าไม่ใช่ เป็นแค่ฝ้า มันอาจจะจางลงไปใน 2-4 สัปดาห์ ตอนนั้นเราค่อยกลับมาเช็คอัพกันเนาะ” ผมพยายามตั้งสติฟังและเก็บรวบรวมข้อมูลในสิ่งที่หมอพูดให้มากที่สุด เพราะปอดเป็นสิ่งที่ผมกังวลมากเลยทีเดียว

“สรุปคือ ถ้าใน 2-3 วันนี้ ปอดไม่แย่ลงไปกว่านี้ ก็กลับบ้าน”

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ คุณก็คงคิดเหมือนผมในตอนนั้น ว่าฟ้าหลังฝนกำลังจะมา ทุกอย่างกำลังคลี่คลาย แต่ถ้าคุณอ่านข้อมูลทั้งหมดที่ผมทิ้งเอาไว้ให้ล่ะก็ คุณอาจจะพอเดาได้ว่า ตอนต่อไป ผมยังมีอุปสรรคไม่ให้กลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพง่าย ๆ รออยู่