ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เกิดในยุค Gen Y หรือ Gen Z ตอนต้น มีโอกาสสูงมากที่คุณจะเคยได้ยินเพลงดังเพลงหนึ่ง เพลงที่ไม่ได้แค่ติดหู แต่ยัง ติดหัวใจ ด้วยเนื้อหาที่เล่าผ่านมุมมองที่ เก๋ และ เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร

ต่างจากเพลงรักทั่วไปที่ฟังแล้วผ่านไป เพลงนี้กลับทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ความฝัน และอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดของเนื้อเพลง

ตั้งแต่เด็กๆ เราถูกเลี้ยงมาพร้อมกับนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายที่รักกันสุดหัวใจ แต่มีอุปสรรคมากมายที่ต้องให้ฝ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดใจร้าย มังกรพ่นไฟ สุดท้ายแล้วความรักก็ชนะทุกสิ่ง และนิทานเหล่านั้นก็จบด้วยประโยคคลาสสิก

“และพวกเขาก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป”

แต่ก็นะ โลกความจริงบางทีมันก็ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น สำหรับเพลงนี้เลือกที่จะพลิกมุมมอง เล่าเรื่องแบบที่ไม่ได้จบอย่างสวยงาม ไม่ประดิษฐ์ ไม่ขายฝัน และกลับเข้าสู่ความรู้สึกลึกๆของคนฟัง

นั่นคือเพลง “เจ้าหญิงคนต่อไป” – Blissonic

เนิ่นนานที่ฉันยังแปลกใจ … เหตุใดเจ้าหญิงต้องรอเจ้าชาย 👑

เพลงเปิดมาด้วยประโยคที่ชวนให้สงสัย ทำไม…เจ้าหญิงต้องรอเจ้าชาย ทำไมความสุขของเธอถึงขึ้นอยู่กับใครสักคนที่ไม่รู้จะมาหรือเปล่า เพลงพาเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย ปราสาท คำสาป ปีศาจร้าย และการรอคอยที่ยาวนาน เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น เราจะได้เห็น “เจ้าหญิง” ที่ติดอยู่บนหอคอยสูง
เธอถูกขังอยู่ด้วย เวทย์มนต์ลึกลับ ของใครสักคนที่ไร้เหตุผล และมีเพียงอย่างเดียวที่เธอรอคอยมาตลอด… คือ “เจ้าชายรูปงาม” ที่จะมาช่วยปลดปล่อย ให้เธอได้พ้นจากพันธนาการสักที

และวันที่เจ้าชายก็มาถึง…. 🏰

จนในที่สุด วันที่เธอรอคอยก็มาถึง “เจ้าชายรูปงาม” ก้าวเข้ามาพร้อมดาบคู่กาย ตั้งใจจะทำลายคำสาปและพาเจ้าหญิงออกไปจากหอคอย แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเหมือนในนิทานที่เราเคยเชื่อ ระหว่างที่เจ้าชายต่อสู้กับปีศาจร้ายเพื่อช่วยเธอ กลับเกิดเหตุไม่คาดคิด… เจ้าชายถูกทำร้าย และเขาไม่อาจก้าวต่อไปได้ เสียงหัวใจเจ้าหญิงสลายลงในวินาทีนั้น ความฝันที่เฝ้ารอมานานพังทลายลงในพริบตา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ

 

🌿 เมื่อไม่มีเจ้าชาย…เราต้องช่วยเหลือตัวเอง 

จะเห็นว่ามีเนื้อเพลง “เจ้าหญิงตะโกนเธอรออยู่บนนี้ เจ้าชายแหงนมองขึ้นมาในทันใด ปีศาจร้ายยังไม่ทันจะสิ้นใจ ลอบทำร้ายเจ้าชายในทันใด และแล้วเรื่องราวมันเริ่มเลวร้าย จากรอยยิ้มที่เคยมีเริ่มจางหาย เลือดไหลซึมออกจากกาย เจ้าชายทรุดลงตรงพื้นดิน เจ้าหญิงนิ่งไปในทันใด เจ้าหญิงจะทำยังไรต่อจากนี้ เจ้าหญิงจะทำยังไรต่อไปดี เมื่อไม่มีเจ้าชาย เจ้าหญิงจะไม่รอคอยเจ้าชายแล้ว จะไม่รอคอยอยู่บนนี้ จะข้ามกำแพงเพื่อจะไปหา เจ้าหญิงกำลังไปหา กำลังจะเดินทางข้ามนภา ไปหาเจ้าชายและเรื่องนี้ก็เดินมาจนบทสุดท้าย ไม่เหลือเจ้าหญิงเจ้าชายแล้ว ไม่เหลืออะไร นอกจากตัวฉัน ที่ยืนมองดูอยู่บนนี้ อยู่บนหอคอยที่ไม่มีทางออก ไม่มีทางออก”

สำหรับเรา…มันคือจุดที่เพลง “หัก” แบบเจ็บสุด ๆ เนื้อเพลงเล่าว่าเจ้าหญิงรอเจ้าชายมานานแค่ไหน จนวันที่เจ้าชายมาถึง…ก็คิดว่าทุกอย่างจะจบสวย ๆ เหมือนในนิทาน แต่ไม่เลยปีศาจยังไม่ตาย และมันลอบทำร้ายเจ้าชายจนล้มลงตรงหน้า

คือแบบ…ใช่ เจ้าชาย ตายแล้ว 🩸 และถ้าดูใน MV คือโคตรชัดเลย เลือดท่วมปราสาททั้งหลัง โลกที่เธอคิดว่าจะสวยงาม กลับพังทลายลงต่อหน้าต่อตา

แล้วเจ้าหญิงล่ะ…จะทำยังไงต่อ? เธอไม่มีเจ้าชาย ไม่มีใครมาช่วย ไม่มีทางออกจากหอคอย สุดท้ายก็ต้องคิดเองว่า…จะปล่อยให้ติดอยู่ในปราสาทบ้า ๆ นี่ต่อไป หรือจะหาทางออกจากที่นี่ด้วยตัวเอง

และนั่นแหละ…เราว่ามันคือ “จุดสำคัญ” ที่เพลงนี้พยายามจะบอก มันไม่ได้พูดเรื่องเจ้าหญิงกับเจ้าชายจริง ๆ หรอก แต่มันกำลังบอกเราว่า บางครั้งเราก็ต้องช่วยตัวเอง ต่อให้ไม่มีใครมาหา ต่อให้ความฝันมันพัง ต่อให้เรากลัวแค่ไหน เราก็ต้องเลือกก้าวออกมาจากหอคอยนั้นด้วยตัวเราเอง

 

อยู่ที่มุมมอง… อยู่ที่การตีความ จริงๆนะ ✨

ความสวยงามของเพลง “เจ้าหญิงคนต่อไป” คือมันไม่ได้บอกเราตรง ๆ ว่าเรื่องนี้ต้องหมายความว่าอะไร แต่เปิดพื้นที่ให้คนฟัง ตีความในแบบของตัวเอง

  • บางคนอาจมองว่า เจ้าหญิงคือ “เรา”
    คนที่เฝ้ารอใครสักคนมาช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์

  • เจ้าชาย อาจเป็น คนที่เราหวังพึ่งพา
    อาจเป็นความรัก, คนรัก, เพื่อน หรือใครสักคนที่เราคิดว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น

  • ส่วน ปีศาจร้าย ก็อาจเป็น ปัญหาในชีวิต
    ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรค การงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความคิดลบในใจเราเอง

และในอีกมุมหนึ่ง…บางคนก็เลือกที่จะตีความเพลงนี้เป็นเรื่อง ความรัก เจ้าหญิงคือคนที่เฝ้ารอคนรัก เจ้าชายคือความสัมพันธ์ที่เราคาดหวัง
ปีศาจคือปัญหาที่เข้ามาทดสอบหัวใจ แต่สุดท้าย…เรื่องราวไม่ได้จบอย่างที่หวัง

 

🕊️ บทสรุปที่เพลงอยากบอกเรา

ไม่ว่าเราจะตีความยังไง สิ่งที่เพลงกระซิบบอกเราผ่านท่อนสุดท้ายไม่ได้มาในลักษณะของเนื้อเพลง แต่บอกเป็นนัยๆว่า “ตัวเราเองต่างหาก ที่ต้องเป็นคนช่วยเหลือตัวเอง” ในวันที่ไม่มีเจ้าชาย ในวันที่ไม่มีใครยื่นมือมา เราต้องเป็นคนก้าวออกจากหอคอยนั้นด้วยตัวเอง มันอาจไม่ใช่ตอนจบที่สวยงามแบบนิทาน แต่มันคือ “ความจริง” ที่ทุกคนต้องเผชิญ และบางครั้ง…ความกล้าที่จะเลือกเดินต่อด้วยตัวเอง นั่นแหละ คือการปลดปล่อยที่แท้จริง


อ่ะ แปะ MV ไว้หน่อย หลายๆคนคิดยังไงมาคอมเม้นต์คุยกันนะ