ดองหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่จบงานหนังสือปี 68 จริง ๆ ก็ไม่ได้ผ่านมานานหรอก แต่ตอนนั้นสะดุดตาคำโปรยด้านหลังเล่มมาก ถึงขั้นยืนพลิกอ่านอยู่หลายรอ สุดท้าย…ก็ต้องซื้อ (แน่นอนว่าซื้อสิครับ) แต่…ก็ไม่ได้ซื้อกับ ชี้ดาบ (ขอโต๊ดจริง ๆ 🫣) เพิ่งรู้ทีหลังว่าหนังสือฝากขาย มันลดราคาไม่ได้ ถ้าซื้อกับแซลมอนมันลดเยอะกว่า 555

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “ชีวิตจริงที่ชิงโชค (MERIT O CRAZY) ระบบคุณธรรมนิยมในสังคมที่ไม่ยุติธรรม”
เขียนโดย ณัฐวุฒิ เผ่าทวี

ตอนแรกที่เห็นชื่อ ชีวิตจริงที่ชิงโชค ผมนึกว่าจะพูดเรื่องดวง หรือไม่ก็พวกสูตรเรียกทรัพย์แบบ “ทำบุญให้ถูกวันเกิดแล้วจะรวย” แต่หนังสือเล่มนี้พูดถึง “ระบบในหัวเรา” ที่ทำให้เราคิดว่าโลกนี้มันแฟร์ แต่จริงๆแล้วมันอาจจะไม่แฟร์ตั้งแต่ต้นเกม อ่านไปเหมือนโดนไม้แหย่ความเชื่อที่ถูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ว่าแบบ “ขยันแล้วจะได้ดี” จนมาถึงแนวคิดในสังคมที่เราถูกปลูกฝังว่า “คนสำเร็จคือคนเก่ง”

But… หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มานั่งเทศนาให้เราฟัง แต่ผู้เขียนเขาค่อยๆแงะให้ดูว่า ทั้งความเชื่อ กฎแห่งกรรม ความยุติธรรม ความพยายาม ศีลธรรม มันพันจนเราแงะไม่ออก แต่บางครั้ง สิ่งที่เราภูมิใจว่า “หามันมาได้ด้วยสองมือ” อาจมีโชค ถ้าเขียนแบบติดตลกคือ เจ้าที่ แม่ย่านาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แอบช่วยเราอยู่ตลอดเวลาก็ได้แก

เริ่มเลอ


🌏 Part 1 : โลกยุติธรรมกับกฎแห่งกรรม

ผู้เขียนเริ่มจากคำถามง่าย ๆ แต่จี้ใจดำมากว่า ทำไมเวลาเราเห็นข่าวอุบัติเหตุบนถนน เรามักพูดว่า “ก็ขับรถเร็วเองสิ” หรือพอเห็นใครลำบากหน่อย เราก็หลุดปากว่า “คงทำกรรมไว้ชาติปางก่อน” ประโยคเหล่านี้ฟังดูเหมือนแค่ความคิดเห็นส่วนตัว แต่จริง ๆ แล้วมันคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อว่าโลกนี้ยุติธรรม” เรามักอยากเชื่อว่าโลกนี้แฟร์ คนดีได้ดี คนชั่วได้ชั่ว ทุกคนสมควรได้รับสิ่งที่ตัวเองทำไว้ พราะถ้าโลกมันแฟร์ เราก็จะรู้สึกปลอดภัยรู้สึกว่าเรา “คุมชีวิตตัวเองได้” แต่ปัญหาคือ… ความเชื่อนี้มันทำให้เรามองข้าม “ระบบที่ไม่แฟร์” แล้วหันไปโทษเหยื่อแทน ทั้งที่บางเรื่อง มันไม่ควรถูกโยนให้ใครรับผิดชอบคนเดียวเลยด้วยซ้ำ

ผู้เขียนยังเทียบไว้อย่างน่าสนใจกับ “กฎแห่งกรรม” ในพุทธศาสนา ที่เราคุ้นหูกันดีว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งสองความเชื่อดูคล้ายกันตรงที่ยึด “เหตุและผล”

แต่มีจุดต่างสำคัญอยู่อย่าง

  • “โลกยุติธรรม” เชื่อว่าโลกนี้แฟร์อยู่แล้ว
  • ส่วน “กฎแห่งกรรม” มองว่า ความยุติธรรมต้องใช้เวลา ผลของการกระทำอาจยังไม่มาถึงในชาตินี้ก็ได้

สุดท้ายทั้งสองแนวคิดนี้ก็เหมือน “ยาระงับใจ” ช่วยให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกัน…มันก็ทำให้เรายอมรับความอยุติธรรมในสังคมไปโดยไม่รู้ตัว

💰 Part 2 : เงิน มรดก และโชคที่ซ่อนอยู่

จากเรื่องโลกยุติธรรมและกฎแห่งกรรม ผู้เขียนก็ขยับเข้าสู่เรื่องที่จับต้องได้มากขึ้น นั่นคือ “เงิน” มันอาจจะฟังดูธรรมดา แต่พออ่านจริงๆ นี่รู้เลยว่า มันไม่ใช่บัญชีเงินฝากในธนาคาร แต่มันคือบัญชีในใจ
นักเศรษฐศาสตร์เรียกมันว่า Mental Accounting คือ เราตีค่าของเงินไม่เท่ากัน ทั้งๆที่มันคือเงินเหมือนกันทุกบาท

เช่น ถ้าเราซื้อตั๋วหนังราคา 350 บาทแล้วทำตั๋วหาย เรามักจะรู้สึกเสียดายไม่อยากซื้อใหม่ เพราะมันจะกลายเป็นหนังราคา 700 บาททันที แต่ถ้าเราทำเงิน 350 บาทหายแล้วค่อยซื้อ กลับรู้สึกว่าไม่เป็นไร ค่อยหาใหม่ และก็จ่ายแบบไม่เจ็บปวดเท่าไร่

เห็นมะ เงินเท่ากัน แต่อารมณ์ไม่เห็นจะเท่ากัน

ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเรายังมีวิธีแยกเงินในใจตามที่มาด้วย เงินที่เราได้จากความพยายาม เช่น เงินเดือน เราจะรู้สึกว่าภูมิใจและเป็นของเราอย่างเต็มร้อย แต่ถ้าเป็นเงินที่ได้จากโชค อย่างถูกหวย ได้โบนัส หรือขวัญถุงจากแม่ เรากลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ของเราจริงๆ ใช้ให้คนอื่นง่ายกว่า เพราะลึกๆ เราเชื่อว่า ของที่ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง ไม่ควรเป็นของเราทั้งหมด

แล้วผู้เขียนก็พาเรา “เปลี่ยนเฟรม” แบบไม่รู้ตัว จากเรื่องเงินในกระเป๋า ไปสู่ “มุมมองในหัว” ว่าเรามองความพยายามยังไง

เขาบอกว่า นี่แหละเหตุผลว่าทำไมคนขยันถึงไม่อยากจ่ายภาษีแพง หรือไม่ชอบนโยบายกระจายรายได้เท่าไร่ เพราะเขารู้สึกว่า “ฉันหามาด้วยมือของฉันเอง” จะไปแบ่งให้คนที่ไม่พยายามได้ยังไง แต่ปัญหาคือ เราไม่เคยรู้ตัวเลยว่า รความพยายามของเรา มันมี​โชคซ่อนอยู่มากแค่ไหน

บางคนครอบครัวดี
บางคนได้เรียนโรงเรียนดี
บางคนเริ่มต้นชีวิตโดยไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้จะต้องกินอะไร

ทุกอย่างที่เราคิดว่าเราหามาเอง
บางทีมันอาจจะเริ่มต้นจาก “ต้นทุนที่เราไม่ได้สร้าง” ก็ได้ เพราะบางทีโชคไม่ได้มาจากการถูกหวย แต่มันอยู่ตั้งแต่ตอนที่เราคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแล้ว

หลังจากนี้ผู้เขียนเล่าถึงการ์ตูนของ โทบี มอร์ริส (Toby Morris)
ที่อธิบายว่า “โอกาสไม่เท่ากัน” ได้แบบเจ็บจิ๊ดแบบไม่ต้องเล่นใหญ่ไฟกระพริบเลย
เรื่องมีอยู่ว่า…

เด็กสองคนชื่อ ริชาร์ด กับ พอลล่า ริชาร์ดเกิดมาในครอบครัวฐานะดี บ้านสะอาด อากาศดี พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่เรียนอนุบาลจนมหาลัย พอลล่าเกิดมาในครอบครัวธรรมดา บ้านอับชื้น พ่อแม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้ฟัง

ตอนเด็ก ๆ ริชาร์ดเข้าโรงเรียนดี ได้ครูดี เพื่อนดี พอลล่าเรียนโรงเรียนรัฐที่ครูดูแลไม่ทั่วถึง ตอนโตขึ้น ริชาร์ดได้ฝึกงานในบริษัทเพื่อนพ่อ ส่วนพอลล่าต้องลาออกจากมหาลัยกลางคันเพื่อกลับมาดูแลพ่อที่ป่วย เวลาผ่านไปหลายปี ริชาร์ดกลายเป็นหนุ่มมีงานมั่นคง

พอลล่าทำงานพาร์ตไทม์เป็นพนักงานเสิร์ฟ และวันหนึ่ง…ทั้งสองคนบังเอิญเจอกันในงานเลี้ยงบริษัท แขกในงานถามริชาร์ดว่า “อะไรคือกุญแจสู่ความสำเร็จของคุณ? ริชาร์ดตอบทันทีด้วยความภาคภูมิใจว่า “ความพยายามครับ ผมต้องพยายามหนักมากกว่าจะมายืนตรงนี้ได้ คำตอบนั้นฟังดูถูกต้องดีนะ แต่ก็ขมขื่นสำหรับคนที่ไม่ได้มี “จุดเริ่มต้น” เท่ากัน

ภาพของการ์ตูนของมอร์ริส ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรมาก แค่เส้นทางของชีวิตเด็กสองคนก็พอจะบอกได้ว่า
“ความพยายาม” จะมีค่าก็ต่อเมื่อ สนามแข่งมันแฟร์ แล้วเราจะยังกล้าพูดได้ไหมว่า “ทุกคนเริ่มจากจุดเดียวกัน”

เมื่อเรื่องของริชาร์ดกับพอลล่ายังดูไกลตัว เรามาดูระบบโชคในชีวิตจริงมั่งดีกว่า อันนี้ใกล้ตัวกว่าเยอะ ผู้เขียนเรียกหัวเรื่องว่า “ธนาคารพ่อแม่ไม่จำกัด” หลายๆคนน่าจะเคยใช้บริการเจ้านี้ไม่มากก็น้อย เช่น บางคนอยากย้ายออกจากบ้านไปอยู่คอนโด พ่อแม่ก็ควักเงินให้ อยากเปิดร้าน พ่อแม่ช่วยลงทุน หรือแม้ตอนมีลูก พ่อแม่ก็ช่วยออกเงินค่าเทอมให้หลาน

สมกับเป็นสายป่านแห่งชาติที่คอยต่อลมหายใจเราทุกจังหวะ จะถอน โอน​ กู้ ไม่เสียค่าธรรมเนียม แถมดอกเบี้ยเป็นความรักล้วนๆ 55555555555555555 (บ้าจริง)

สำหรับสังคมไทย เรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติมาก เพราะเติบโตมากับความเชื่อที่ว่า “ลูกก็คือลูก พ่อแม่ก็ต้องช่วยเต็มที่แหละ” อะมันก็ดูอบอุ่นจริง แต่ถ้าเรามองอีกมุมนึง มันคือความได้เปรียบโดยกำเนิด โดยที่บางทีเราไม่รู้ตัวว่า กำลังใช้ “โชคทางสายเลือดอยู่”

สิ่งที่น่าสนใจคือ ลูกที่ได้รับการซัพพอตจากพ่อแม่ก็มักจะรู้สึกว่า ก็สมควรแล้วนี่ ฉันควรได้รับสิ่งนี้ และก็จะผูกโชคนั้นเข้ากับความพยายามของครอบครัว พูดตรงๆคือ ไม่ใช่โชคหรอก พ่อแม่เราทำงานมาหนักต่างหาก

ซึ่งมันก็ไม่ผิดหรอกฮะ เพราะพ่อแม่บางคนก็ทำงานมาหนักจริงๆ แต่พอลองมองให้ลึกอีกนิด มันก็มีความย้อนแย้งซ่อนอยู่ เพราะลูกไม่ได้ พยายามเอง แต่กลับใช้ความพยายามจากรุ่นก่อน

นั่นคือเส้นบางๆ ระหว่าง “สิทธิพิเศษ” กับ “ความยุติธรรม” เรามักมองสิ่งที่ได้รับจากครอบครัวว่าเป็นเรื่องปกติ จนบางครั้งลืมไปว่ามีอีกคนมากมายที่ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เริ่มจากตรงนี้

แกลองคิดดูดิ ถ้าเราเกิดมาในบ้านที่มีทุนตั้งต้น มีพ่อแม่เป็นกันชนเวลาเจ็บ เราก็มีโอกาสพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่มีใครคอยรับแล้วไหม แล้วแบบนี้โลกแฟร์จริงหรอ?

พูดถึงพ่อแม่ช่วยลูกแล้ว ผู้เขียนก็ชวนมองต่ออีกมุมนึงคือ “ความคลุมเครือของความมั่งคั่ง”
พูดง่ายๆคือ “เราชอบทำเป็นไม่รู้ว่าเรารวยเพราะอะไร” 😅 อันนี้เราตีความเอง และคนเขียนก็ยกตัวอย่างว่า สมมุติคุณไปสัมภาษณ์งาน และผู้สัมภาษณ์พูดว่า “Profile คุณต่างจากคนอื่นนะ และเดิ๋ยวจะติดต่อกลับอีกที” ฟังดูก็พอมีลุ้น แต่อย่างน้อยก็ยังปลอบใจตัวเองได้หน่อยนึงว่า เขาอาจจะชอบก็ได้

แต่นักจิตวิทยา แดเนียล กิลเบิร์ต (Daniel Gilbert) บอกว่า “คนเรามักใช้ความคลุมเครือให้เป็นประโยชน์ เพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเอง” ถ้าเขาพูดว่า คุณไม่ผ่านนะ เราก็คงรับไม่ได้ แต่ถ้าทิ้งไว้คลุมเครือ เราก็จะหาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเองได้เสมอ

เราชอบใช้ “ความคลุมเครือ” มาปลอบใจตัวเองว่า สิ่งที่เรามี มันมาจากความสามารถ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว…มันอาจเป็นโชคมากกว่าครึ่งด้วยซ้ำ เพราะถ้าเรายอมรับว่าความมั่งคั่งของเรามาจากโชค เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า โลกนี้ไม่แฟร์อย่างที่คิด ซึ่งนั่น…คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเผชิญ



🥊 Part 3 : เมื่อความพยายามและตัวเราเป็นใหญ่ที่สุด

ผู้เขียนเปิดตอนนี้ด้วยคำพูดในมังงะระดับตำนาน ก้าวแรกสู่สังเวียน (Hajime no Ippo) ของอาจารย์ จอร์จ โมริคาวะ (George Morikawa) ที่เป็นหนึ่งในประโยคสุดคลาสสิกของโลกการ์ตูนต่อสู้ “ไม่ใช่ทุกคนที่พยายามอย่างหนักจะประสบความสำเร็จ แต่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องผ่านการพยายามอย่างหนักมาแล้วทั้งนั้น” และถามว่านี่เคยดูไหม ไม่ดูมังงะจ้า 555

ประโยคนี้เท่จริง มันให้พลังที่อยากลุกขึ้นมาสู้ต่อ แต่อ่านในบริบทของหนังสือเล่มนี้ จริงๆ มันชวนตั้งคำถามมากกว่าให้แรงบันดาลใจ

ผู้เขียนบอกว่า คำพูดนี้ต่างจากที่เราได้ยินกันจนชินอย่าง “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” มันแอบซ่อนความน่าจะเป็น เอาไว้ คือมันยอมรับว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่พยายามจะประสบความสำเร็จ แต่ทุกคนที่สำเร็จล้วนต้องพยายามมาแล้วทั้งนั้น” มันเป็นประโยคปลอบใจของคนที่ทุ่มสุดตัวแต่ยังไม่ถึงฝั่งให้ ให้รู้ว่า “ความล้มเหลวไม่ได้แปลว่ายังไม่พยายาม”

ผู้เขียนเรียกสิ่งนี้ว่า “Deserving Heuristic” หรือกลไกในใจที่ทำให้เรามีแนวโน้ม “ให้เครดิตตัวเองมากกว่าความจริง” เมื่อเราสำเร็จ เราจะเชื่อว่ามันเป็นผลจาก “ความสามารถและความขยันของเรา” แต่จะลืมไปว่ามี “โชค” หรือ “โอกาส” ช่วยส่งเรามาด้วย

ผู้เขียนชวนมองอีกมุมของ “ความพยายาม” ว่ามันมักมาคู่กับสิ่งที่เรียกว่า Self-serving bias อคติที่ทำให้มนุษย์มองตัวเองในแง่ดีเกินจริง เวลาสำเร็จ เรารีบให้เครดิตตัวเองว่า “เพราะเราขยัน” แต่พอพลาดเราก็จะรีบโทษสิ่งรอบตัวว่า “โลกมันไม่แฟร์”

สอบได้ดี = ฉันเก่ง
สอบตก = ครูออกข้อสอบโหด

พฤติกรรมนี้มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก มันคือกลไกการปลอบใจตัวเอง ที่ช่วยรักษาความมั่นใจให้เรามีชีวิตอยู่รอดในโลกปัจจุบัน แต่ถ้ามีมากไป มันจะทำให้เรามองโลกเพี้ยน จนกลายเป็นคนที่เชื่อว่า “เราถูกเสมอ” และลืมมองเห็นว่า ความสำเร็จของเราที่มีคือ “โชค” ที่แอบยืนอยู่ข้างหลังเหมือนกัน
แน่นอน มันก็มีข้อดีอยู่บ้าง

Self-serving bias ทำให้เรายังมีแรงลุกขึ้นสู้ ช่วยพยุงใจไม่ให้พังเวลาเจอความล้มเหลว แต่มันก็เป็นดาบสองคม เพราะถ้ามีมากเกินไป มันจะกลายเป็นเกราะที่หนาจน “ไม่รับฟังใคร” เราจะเริ่มคิดว่าเราถูกเสมอ เราจะเริ่มหลงตัวเองโดยไม่รู้ตัว และเราจะเริ่มโทษทุกอย่างรอบตัว ยกเว้น “ตัวเราเอง”

🥊 Part 4 : เพื่อนที่มี ตระกูลที่อยู่ และปีที่เกิด โชคชะตาที่ควบคุมไม่ได้

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ นี่คือความจริงที่ฟังดูซ้ำ แต่เจ็บทุกครั้งที่คิดถึง ผู้เขียนเล่าถึงเรื่องของ ราจ เชตตี (Raj Chetty) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากฮาร์วาร์ด ชีวิตของเขาดูเหมือนนิยายแห่งความสำเร็จ เด็กชายจากนิวเดลีที่ย้ายมาอเมริกา เรียนจบ ได้รางวัล และเติบโตเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก หลายๆคนมองว่าเขาพยายามไง แต่ราจกลับยอมรับตรงๆว่า “ความสำเร็จของผม มาจากโชคแทบทั้งหมด” และโชคนั้นเริ่มตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ

แม่ของเขา อันบู เชตตี เกิดและเติบโต ในทางตอนใต้ของอินเดีย เธอฉลาดและรักการเรียนมาก แต่ในยุคนั้น “การส่งลูกสาวไปเรียนไกลบ้านถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม” โชคดีที่ว่ามีเศรษฐีท้องถิ่นคนนึงมาเปิดวิทยาลัยพอดี อันบูเลยมีโอกาสเรียนต่อ และนั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอ เพราะถ้าเศรษฐีคนนั้นไม่เปิดวิทยาลัย อันบูคงไม่ได้มีโอกาสได้เรียนแพทย์ ไม่ได้พบกับวีรัปปา ไม่ได้ย้ายไปเมกา และแน่นอน จะไม่มีราจ เชตตี ในวันนี้เลย

ระบบการศึกษาที่ไม่ทั่วถึง การกีดกันทางเพศในสังคมอินเดีย และความโชคดีของแม่ ทำให้เชตตีเชื่อว่า ‘โชค’ เป็นปัจจัยนึงในชีวิตคน และเป็นส่วนที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมได้

ในเล่มกล่าวถึงงานวิจัยของ ราจ ซึ่งเราจะไม่เล่าในนี้ เพราะแค่นี้ก็สปอยมากพอแล้วจ้า 🥲
ทีนี้ผู้เขียนก็ชวนตั้งคำถามเพิ่มว่า “ชื่อ และนามสกุลนั้นสำคัญไฉน”

ชื่อและสถานะทางสังคมเป็นเพียงกรอบที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่อาจนิยามหรือเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของสิ่งใดได้ เราจึงไม่ควรดูคนจากภายนอก ซึ่งในที่นี่คือชาติตระกูล ทีนี้พอเป็นบริบทของไทย ผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่ค่อนข้างโดดเด่นและเป็นตัวที่ใช้ในการพิจารณาคือนามสกุล ซึ่งนี่เป็นข้อสันนิษฐานของผู้เขียน เพราะว่ายังไม่เคยเห็นงานวิจัยไหนทำ แต่เห็นจากประสบการณ์ทั้งข่าวสารต่างๆ ว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการเลือกปฎิบัติงานโดยดูจากนามสกุลจริงๆ

ถึงแม้การเลือกปฎิบัตินี้จะไม่ใช่ทุกองค์กรที่เป็นหรอก แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันมีอยู่จริงๆ เพราะหากมีนามสกุลดังก็ไม่มีใครกล้าต่อกร หากมาจากตระกูลใหญ่โต คนชั้นผู้น้อยกว่ายอมจำนน ต่อให้ทำผิดยังไงก็ได้รับโทษน้อยหรือมีทางรอดอยู่ดี

และนั่นพาไปสู่คำถามที่ผู้เขียนทิ้งไว้แบบเบา ๆ แต่บาดลึกว่า แล้วความพยายาม…สามารถชดเชยจุดเริ่มต้นที่แตกต่างได้มากแค่ไหน? และระบบที่เราอยู่ มันเอื้อต่อ “ความพยายาม” ของทุกคนจริง ๆ หรือเปล่า?


🪞 สุดท้ายแล้ว…

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราหยุดพยายาม แต่มันชวนให้เรา “มองเห็นโชค” ที่ซ่อนอยู่ในความพยายามนั้นด้วย บางทีสิ่งที่เราภูมิใจว่าได้มาจากแรงของตัวเอง อาจมีโชคช่วยดันอยู่เงียบ ๆ ข้างหลังเสมอ และเมื่อเรารู้ว่าทุกคนไม่ได้เริ่มจากจุดเดียวกัน เราจะเริ่มอ่อนโยนกับคนอื่นมากขึ้น เข้าใจระบบมากขึ้น และเลิกหลอกตัวเองว่า “โลกนี้แฟร์”

ทั้งที่จริง…มันไม่เคยแฟร์เลยตั้งแต่แรกหรอก