ก่อนอื่น ผมตัดสินใจที่จะเขียนความรู้สึกหลังอ่าน เพื่อสื่อสารกับ พี่เจม และผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเป็นหลัก เพราะงั้นอาจมีการสปอยล์เนื้อหาเล็กน้อยบ้าง ขอใส่ [SPOILER ALERT] เผื่อไว้ตรงนี้ ใครยังไม่ได้อ่าน และไม่ชอบการสปอยล์เลย ลองดูรีวิวจากพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่นก่อนได้ครับ
__________________________________________________________________
ตอนที่ผมอ่าน 1 ปีเมกาทั้ง 2 เล่มจบ ผมก็ว่าเจมดูน่าจะไม่ได้มีอะไรที่ติดค้างกับอเมริกามากมายขนาดนั้น แต่พออ่าน 13 Years After กลับรู้สึกว่า ทำไมหลุมดำในใจของเจมเล่มนี้มันใหญ่จังวะ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการ mention เหตุการณ์ช่วง South Dakota เอาไว้คร่าว ๆ แต่มันก็ยังไม่ทำให้ผมเข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แล้วเมื่อผมได้มาเห็นว่า เรื่องราวการพบกันของ เจมและคริส มันกินพื้นที่แค่ 21 จาก 350+ หน้าของหนังสือเล่มนี้ แถมยังเป็น “บทที่ 0” หรือว่าง่าย ๆ คือ มันแทบจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการเดินทางในหนังสือเล่มนี้จริง ๆ ด้วยซ้ำ ผมก็เข้าใจทุกอย่าง
ในฐานะคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเขียนบท และชอบลองใส่ตัวเองลงไปสำรวจตัวละคร ถ้านี่คือนิยายหนึ่งเรื่องที่เขียนโดยใครที่ผมไม่รู้จัก ผมคงคิดว่าผู้เขียนเกลียดตัวละครตัวนี้ แอร์ไทม์ก็โคตรไม่สำคัญ ต้องเผชิญความสูญเสีย ต้องกลับมาเจอเจมในร่างเมายา แต่ก็ยังดูแลเจมจนจบ “บทที่ 0” โดยไม่ได้รับคำขอโทษ ขอบคุณ หรือบทสรุปที่เป็นการแสดงความรักจากผู้เขียนหรือตัวละครหลักเลยแม้แต่น้อย (แอบเฝ้ารอให้มีการพูดถึงในตอนท้าย แต่ก็กลายเป็นการพูดถึงอย่างสั้น ๆ และไม่ใยดีกว่าเดิม)
ผมไม่ได้เขียนย่อหน้าข้างบนเพื่อด่าพี่เจม แต่ผมแค่เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ถึงมีหลุมดำหลุมนั้น ติดตัวกลับไปอเมริกาใน 13 Years After
__________________________________________________________________
ส่วนเนื้อหาในหนังสือจริง ๆ ที่พี่เจมเคยบอกว่ามีทั้งหมดถึง 5 เลเยอร์ ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้ มันถูกต้องตามที่พี่ต้องการมั้ย แต่ผมก็คิดว่าผมได้ 5 ประเด็นใหญ่ ๆ จากเรื่องนี้เหมือนกันครับ
1. ถ้านี่คือการบอกเล่าประสบการณ์ การ work & travel สิ่งที่ผมได้คือ การทำงานแม่งแทบไม่ได้เป็นตัวละครหลักในเรื่องนี้เลยก็จริง แต่สุดท้าย มันก็กลับมาให้บทเรียนกับเจมในท้ายที่สุด (อย่างน้อยก็จากการได้ขอโทษ และการได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้สำคัญในสายพานของอุตสาหกรรมขนาดนั้น) แต่สิ่งที่เป็นพาร์ทหลัก จนสามารถเขียนหนังสือเป็นเล่ม ๆ ได้ แม่งคือการใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนที่ได้พบเจอต่างหาก ถ้าเจ้านายไม่น่าหงุดหงิด รูมเมทคนแรกไม่หื่น เพื่อนไม่ได้ทะเลาะกันด้วยความต่างวัฒนธรรม หรือหยิบยื่นอะไรต่าง ๆ ให้ลอง ถ้าสาว ๆ ไม่มีใครสนใจหรือน่าสนใจ เจมก็คงจะกลับจาก South Dakota ด้วยการมี character development ไปคนละแบบจากบทสรุปส่งท้ายในเล่มเลย
2. ถ้านี่คือการพูดคุยกับตัวเอง เหมือนที่หนังสือชี้ดาบทำมาเสมอ แล้วพวกเราเป็นผีในห้องที่เฝ้ามองเจมตบตีทางความคิดกับตัวเองผ่านการพูดคนเดียวหรือเขียนไดอารี่ ผมว่าใน SD18+ คงเป็นเล่มที่ชาวผีในห้องต้องกุมขมับ ตีอกชกหัวกันมากที่สุด เพราะบางทีมึงก็มั่นใจอะไรผิด ๆ บางทีมึงก็ตั้งใจหลอกตัวเอง และบางทีมึงก็เดินฝ่าดงกับระเบิดไปทั้ง ๆ ที่มีสติรู้ผิดชอบชั่วดีทั้งอย่างนั้นเลย
3. ถ้านี่คือการพูดถึงปัญหาจากระบบทุนนิยม หรือกรอบจากสังคมไทย ครอบครัวที่จะหยุดให้เงิน เพื่อนมหาลัยที่ผลักไส ที่ทำให้พี่เจมต้องคอยวกกลับมาคิดเรื่องเงิน เรื่องงาน บ่อย ๆ ต้องการถีบตัวเองไปให้ประสบความสำเร็จตามที่ฝัน เพื่อพิสูจน์อะไรสักอย่าง ก็ต้องบอกว่า มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียซะทีเดียว เพราะมันดันทำให้เจมกล้าที่จะกลับไปขอโทษเจ้านาย ทำให้หยุดตัวเองจากการพี้กัญชา หรือแม้แต่การดึงสติให้ไม่เสียคนไปมากกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำในตอนนั้น ว่าจะได้เป็นนักเขียนหรือเปล่า และถ้าเป็นแล้วชีวิตจะเป็นยังไงต่อ
4. ถ้านี่คือการพูดถึงปัญหาของกรอบความคิดที่ถูกห้ามปราม หรือการหล่อหลอมจากสังคม มันน่าสนใจมากตรงที่ว่า เจมมองวัฒนธรรมไทยเป็นปัญหาของตัวเองมาตลอดในหนังสือหลายเล่ม แต่กลายเป็นว่าการพยายามจะไหลไปตามวัฒนธรรมอื่น ๆ ในหนังสือเล่มนี้ แม่งไม่ได้พาเจมไปสู่ทางออกของปัญหาอะไรเลย เผลอ ๆ พาไปเจออะไรที่ชิบหายกว่าเดิมได้อีก
ถ้างั้นจากข้อ 3-4 แปลว่าทุก ๆ ชุดความคิดบนโลก เป็นส่วนผสมที่มีอัตราส่วนความหวานและขม ข้อดีและข้อเสีย สุดโต่งและประนีประนอม ในแบบเฉพาะตัวของมัน ส่วนเราก็ต้องเป็นบาร์เทนเดอร์ที่เลือกผสมค็อกเทลที่ถูกจริตหรือพอดีกับเส้นแบ่งทางจริยธรรมของตัวเองที่สุด ซึ่งแม้แต่ตัวเราเองในแต่ละช่วงวัย ก็อาจจะไม่ชอบรสชาติของค็อกเทลแก้วที่เราเคยชงเอาไว้ได้เช่นกัน
5. ถ้านี่คือการสอนถึงการใช้ยาเสพติด ผมคิดว่าการกำหนดเรท 18+ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะตลอดการอ่านหนังสือเล่มนี้ เราได้สำรวจความคิดของเจมอย่างถี่ถ้วนและซื่อสัตย์สุด ๆ อย่างที่เป็นมาเสมอ บุหรี่ กัญชา หรือแม้แต่ยาอี จึงแทบจะไม่ได้รับบทตัวร้ายในเนื้อเรื่องนี้เลย ในทางกลับกัน มันคือเพื่อนพระเอกด้วยซ้ำไป
(และในเชิงการเขียน พี่เจมเล่าซะโคตรเท่ ทั้งการใส่ Are you sure? ในตอนต้นกับท้ายเรื่องจากคนละฝั่งผู้พูด / การพูดกับตัวเองเสมอ เน้นย้ำเรื่องการไม่สูบเข้าปอดทุกครั้ง จนกระทั่งมันค่อย ๆ ยอมแพ้และโยนทิ้งความคิดเดิมไปแบบเนียน ๆ / การที่ทำให้เราแอบขำว่า พี่ดอยบุหรี่เพื่อนไปกี่ตัวแล้ววะ จนถึงจุดที่พี่ก็บอกว่า มีคนสังเกตเช่นเดียวกันว่าพี่เริ่มซื้อบุหรี่เป็นของตัวเองในที่สุด)
เพราะฉะนั้น แม้ว่าพี่เจมจะมาสรุปในตอนท้ายถึงการถูกเอาความสุขหรือสิ่งที่ได้จากยาเหล่านี้ คืนกลับไปอย่างสาสม แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีบางคน ที่ยังไม่ได้มั่นคงทางอารมณ์หรือเส้นทางการใช้ชีวิต ที่อ่านแล้วอยากรู้ อยากเข้าใจ อยากลองได้สัมผัสสิ่งนั้นบ้าง แล้วก็คิดว่าตัวเองอาจโชคดีก้าวผ่านมันได้เหมือนที่พี่เจมผ่านมา ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเล่า หากแต่ก็เป็นสิ่งที่สมควรแก่การตักเตือนและจำกัดอายุผู้อ่าน รวมถึงการบอกถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ก็เป็นสิ่งที่อยากให้ผู้อ่านทุกคนอ่านให้ถึงและใส่ใจกับสิ่งที่พี่เจมต้องการจะบอกจริง ๆ ครับ
__________________________________________________________________
จึงเป็นที่มาที่ทำให้ผมพูดว่า South Dakota18+ เป็น “จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ” ที่หากผมไม่อ่าน คงจะไม่เข้าใจ 13 Years After ได้เท่านี้ แต่ก็ “ไม่จำเป็น” ต้องพยายามจะต้องรีบอ่านเพื่อเข้าใจหรือเข้าถึงหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ ในวันที่ผู้อ่านบางคนยังไม่ได้ผ่านชีวิตวัยนั้นมาก็ได้ เพราะบางที เราก็อาจจะต้องใช้ความรู้สึกร่วมจากการเติบโตส่วนตัวของเรา เพื่อทำความเข้าใจบาดแผลของเจมในช่วงวัยนั้น ๆ เหมือนกัน
ป.ล. จากที่คิดว่าจิ๊กซอว์ชิ้นนี้จะเติมเต็มภาพให้สมบูรณ์ กลายเป็นว่า ยิ่งทำให้อยากรู้เรื่องราวพี่เจมทั้งหลังจากนั้น (ในช่วงที่ในที่สุดก็ทำสำนักพิมพ์ชี้ดาบ) หรือก่อนหน้า (ช่วงชีวิตในมหาลัย) เข้าไปอีก