Part 1
ขออนุญาตเริ่มต้นด้วยคำถามที่ออกจะจำเจไปสักนิด “ถ้ามีพลังพิเศษได้ 1 อย่าง อยากมีพลังอะไร”
ถ้าคุณคิดว่าผมชวนคุยเรื่องนี้เพราะอยากให้ทุกคนเห็นคุณค่าความพิเศษในตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยสิ่งที่ตัวเองมีอะไรทำนองนั้น ต้องบอกเลยว่า เปล่า
ผมแค่สงสัยเฉย ๆ นี่แหละ เพราะบังเอิญนึกขึ้นมาได้ว่า คำตอบของตัวเองมักเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในแต่ละช่วงวัย อยากรู้ว่าตอนนี้คำตอบของตัวเองจะเป็นยังไง (และของทุกคนด้วย พิมพ์คอมเม้นต์ตอบก่อนอ่านต่อได้นะครับ)
อันที่จริงเวลาเจอคำถามนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไร สิ่งแรกที่ผมจะตัดออกเป็นอย่างแรกคือ บินได้ เพราะผมกลัวความสูง และความเร็ว ผมกลัวเครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนสนุกทุกชนิด เพราะงั้นแค่คิดว่าลอยตัวอยู่บนอากาศ แบบที่ไม่มีอะไรรองอยู่ข้างใต้ หรือล็อคร่างกายเอาไว้เลย ผมสติแตกแน่
ผมเคยคิดว่าคงดีถ้ามีพลังอ่านใจคน แต่นั่นเป็นตอนที่เราคิดว่าถ้ารู้และเข้าใจความคิดทุกคน เราก็จะสามารถทำทุกอย่างให้เขาถูกใจได้ และพ้อยท์หลัก ๆ ของการมีพลังนี้ก็คงเป็นการทำอะไรไม่เคยผิด ไม่เคยถูกโกรธ ถูกเกลียดเลย
แต่พอโตขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง ก็เข้าใจแล้วล่ะว่า ต่อให้เรารู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง เราก็เปลี่ยนความคิดนั้นไม่ได้อยู่ดี และบางครั้งมันก็เจ็บปวดด้วยซ้ำที่จะต้องรู้สิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา แล้วเขาไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
พลังล่องหนเป็นอีกหนึ่งคำตอบโปรดในวัยเด็กของผม เพราะว่าการที่สามารถไปไหนมาไหนได้อิสระ ทำอะไรโดยไม่ต้องถูกรบกวน ไม่ต้องกังวลว่าจะทำตัวหรือแสดงท่าทางอะไรยังไงผิดไป มันสบายใจดี
ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ เป็นพลังพิเศษที่เหมาะสำหรับคนชอบหนีปัญหา เอ้ย…หนีสังคม … เอาเถอะ ไม่ดีขึ้นเลย แต่ถ้าเป็นคนประเภทเดียวกับผม คุณคงจะพอนึกออก
ทีนี้ไอ้การล่องหนเนี่ย มันต้องคุยกันให้เคลียร์ก่อนนะว่า ล่องหนได้นานแค่ไหน บังคับเปิดปิดได้มั้ย หรือว่าล่องหนรวมเสื้อผ้าได้มั้ย
ตามหลักการถ้าพลังพิเศษนี้อยู่ในระบบการทำงานของร่างกาย ผมคิดว่ามันน่าจะไม่รวมเสื้อผ้า แต่ถ้าพลังเป็นประเภทเวทย์มนต์ เสกคาถาบังตา แปลว่าพลังมันไม่ควรจะนับเป็นการล่องหน แต่ควรจะสามารถเสกอะไรอื่น ๆ ได้ด้วย
ถ้าการล่องหนแบบไม่รวมเสื้อผ้า มันคอนโทรลไม่ได้ แน่นอน เราอาจจะต้องไปโป๊ ที่ไหน ต่อ หน้าใคร เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามันล่องหนได้ตลอด งั้นแปลว่าวันไหนที่คุณแก้ผ้าออกจากบ้าน ก็ต้องแก้ผ้าอย่างงั้นไปทั้งวัน (ถ้าพกเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหรือถุงอะไรไปเปลี่ยน ก็ต้องไม่ถือไปมาด้วย ไม่งั้นคนก็เห็นอยู่ดี)
แล้วสิ่งที่ร่างเปล่าเปลือยของคุณต้องเผชิญระหว่างวัน ก็มีตั้งแต่ ฝนตก แดดร้อน ต้องเดินเท้าเปล่าในทุกสภาพพื้น จะไปหาที่หย่อนก้นนั่งตรงไหนก็ลำบาก ไม่สะอาด หลักสุขอนามัยนี่แย่มาก ๆ
และที่สำคัญ หากจุดประสงค์ของการมีพลังนี้มันคือการไม่มีตัวตน การที่คุณต้องล่องหนตลอดทั้งวันก็อาจทำให้คุณดันไม่มีตัวตนในบางจังหวะที่ควรจะมี เช่น มีคนขังคุณไว้ในห้องแล้วล็อค ปิดลิฟท์หนีบ ปิดประตูกระแทกหน้า หรือเหยียบเท้าคุณเข้าอย่างไม่ตั้งใจ นี่ยังไม่นับว่าบางทีอาจจะถูกชนในจุดที่ไม่ควรชนด้วยอีก
เอาล่ะ พอคิดได้อย่างนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่าพลังล่องหนมันยุ่งยากและต้องวางแผนในการใช้เยอะพอสมควร ต่อให้ควบคุมพลังและเงื่อนไขของมันได้ก็ตาม
ต่อมา ผมลองนึกถึงพลังหยุดเวลา เท่าที่เคยดูหนังมา คือทุกอย่างรอบตัวเราจะหยุด แต่ตัวเราขยับได้ หายใจได้ แปลว่า ระบบในร่างกายเราก็ต้องยังทำงานอยู่ งั้นเป็นไปได้มั้ยว่า ถ้าเราใช้พลังหยุดเวลารวม ๆ กันจนถึง 1 ปี แปลว่าเราจะแก่กว่าเพื่อนที่อายุเท่าเราไปแล้ว 1 ปี
แล้วถ้าเราใช้พลังนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย เราจะแก่เร็วกว่าคนปกติทั่วไปแค่ไหน ยังไม่นับว่าเราจะใช้ชีวิตยาวนานและเหนื่อยกว่าชาวบ้าน หรือถ้าไม่อยากถูกจับได้ ก็ต้องกลับมาคอยจำคอยคิดว่า ก่อนหยุดเวลาทำหน้ายังไง อยู่ท่าไหน และกลับไปทำท่าต่อจากเดิม ไม่งั้นคนอาจจะตกใจได้
วิธีใช้พลังอันนี้ให้เวิร์คที่สุดก็คือ ต้องหยุดในที่ที่ไม่มีคนเห็น แต่เราเลือกได้หรอ แล้วถ้าเราสามารถขอเวลานอกหนีออกไปที่ที่ไม่มีคนอยู่ได้ แสดงว่าเหตุการณ์มันก็อาจจะไม่คับขันมาก คำถามคือเราจำเป็นต้องหยุดเวลาจริง ๆ มั้ยเพื่อแก้ปัญหานั้น
การเดินทางข้ามเวลาก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำ เพราะผมเกลียดการสปอยล์ ไม่อยากไปเปลี่ยนความคิดตัวเองตอนเด็ก อยากโตมาแบบเดิม แล้วก็ไม่อยากไปเห็นอนาคตด้วย
พลังที่ดูจะตอบโจทย์ชีวิตสุดอาจจะเป็นการเทเลพอร์ต เพราะในการใช้ชีวิตท่ามกลางการจราจรในกรุงเทพมหานคร แต่ผมก็ไม่อยากให้คนรู้ว่าผมมีพลังนี้ เพราะมันอาจจะเกิดความคาดหวังให้ไปทำงานหรือไปนัดก่อนเวลา ตรงเวลามาก ๆ เสมอ แล้วก็โดนโยนภาระให้ไปไหนทำอะไรเยอะกว่าคนอื่นเพราะเดินทางเร็วกว่าเพื่อน และก็จะต้องใช้ชีวิตอย่าง productive มากขึ้น
อืม…จะว่าไปแล้ว คุณรู้อะไรปะ
สิ่งหนึ่งที่คิดได้จากเรื่องนี้คือ พอลองไล่ดูเงื่อนไขหรือสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกับพลังแล้ว ผมพบว่า พลังพิเศษ มันอาจจะแลกมาซึ่งความรับผิดชอบ อย่างที่ลุงเบน บอก ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในสไปเดอร์แมนจริง ๆ ด้วยว่ะ เพิ่งจะรู้สึกว่าเข้าใจมันจริง ๆ หลังผ่านไป 20 กว่าปี
แล้วก็ยังพบอีกว่า ผมไม่พร้อมจะรับผิดชอบอะไรเลย ผมเป็นมนุษย์ประเภทที่จินตนาการถึงการมีพลังพิเศษเพียงแค่เพราะอยากลองใช้มันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อวากสะดวกสบาย อยากสนุก แต่ก็ไม่อยากจะแบ่งปันผลประโยชน์นี้กับคนอื่นจนมากเกินไปนัก เช่น ไม่ได้อยากทำงานมากขึ้นเพียงเพราะตัวเองวาร์ปไปทำงานได้เร็วกว่าคนอื่น
ซึ่ง มันใช่ประเด็นหลักของการมีพลังพิเศษหรอวะ ถ้ากลับกัน สมมุติว่าผมเป็นเทวดาหรือพระเจ้าที่สามารถมอบพลังให้กับมนุษย์ได้ ผมคงคิดว่า กูจะมอบให้คนที่อยากเอาพลังไปใช้แบบไร้สาระแบบนี้ทำไมอะ 5555555+
แล้วพอคิดว่า ถ้าผมขอพรให้คนอื่นได้ ผมควรจะขอให้พลังพิเศษนี้ตกไปอยู่ที่คนดี ๆ สักคนที่มีจิตเมตตาสาธารณะอะไรแบบนั้นใช่มั้ย คำตอบคือ การที่รู้ว่าเขาเป็นคนดี เราก็เลยยิ่งเอาภาระควาามรับผิดชอบไปโยนให้เขาอีกอย่างนั้นหรอ
งั้นสรุปว่า หรือเราไม่ควรมีพลังพิเศษอยู่บนโลกนี้แหละดีแล้ว เพราะทั้งคนดีและคนเลว ต่างก็ไม่สามารถใช้พลังพิเศษให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดผลข้างเคียงต่อใครเลยได้ทั้งนั้น
พอได้ข้อสรุปแบบนี้ ไม่สนุกเลยว่ะ 555 เขียนมาตั้งนาน ทำไมมันจบขมปี๋ขนาดนี้เนี่ย
____________________________________________________
(เนื่องจากผมเขียนทิ้งเอาไว้ถึงตรงนี้ แล้วไม่รู้ว่าจะสรุปมันยังไงดี เลยเลือกที่จะทิ้งเอาไว้เป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมอยากเขียนมันต่อ)
____________________________________________________
Part 2
ก่อนอื่น ลืมอธิบายไปว่า บทความนี้ไม่มีเรื่องไข่แต่อย่างใด ชื่อเรื่องแค่ไม่อยากใช้คำว่า พลังพิเศษ มันดูธรรมดาไป ก็เลยใช้คำว่าใส่ไข่แทนพิเศษ เฉยๆ
นั่นแหละ ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า
พี่เจม เจ้าของสำนักพิมพ์ชี้ดาบและผู้มีส่วนทำให้เกิดพื้นที่ playground ตรงนี้ เข้ามาร่วมเปิดไมค์คุยใน Openchat ของด้อมในเย็นวันหนึ่ง พี่เจมเล่าถึงความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองหมดพลัง และส่งผลต่อการเขียนหนังสือเล่มใหม่จนรู้สึกเครียด
การที่พี่เจมเขียนหนังสือแล้วเปลี่ยนแปลงความคิด สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ มันก็เป็นความเจ๋งหรือพลังอย่างหนึ่ง ที่คนทั่วไปไม่ได้สามารถทำได้กันทุกคน ซึ่งจะมองว่าพิเศษก็ได้แหละ
แต่การที่ต้องรับแรงกระแทก จากการดำดิ่งสู่ความทรงจำ งมลงไปหาบทเรียนและความรู้สึกนึกคิดจากเรื่องในอดีตออกมา กลับไปเดินผ่านฉากสงครามหรือบาดแผลในชีวิต นั่นก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ราคาแพงมาก ๆ เหมือนกัน ที่พี่เจมต้องจ่ายเพื่อได้มาซึ่งผลงานชิ้นใหม่ และแน่นอนว่านี่คงไม่ใช่เรื่องเดียวที่พี่เจมต้องเผชิญอยู่ในชีวิตด้วย
คือผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูคลีเช่หรือน้ำเน่าอยู่หรอก กับการยกเรื่องพลังพิเศษมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใครสักคนทำ แต่พอมันมีเรื่องของการเสียสละเพื่อแลกมากับผลงานบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่การทำแค่เพื่อตัวเอง แต่จะเป็นการส่งต่อสิ่งนั้นให้คนอื่นด้วย มันทำให้ผมอดเชื่อมโยงเรื่องของพี่เจมกับสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้ไม่ได้
ผมเลยเข้าใจแล้วว่า ไม่แปลกเลยที่ผมจะหาข้อสรุปให้เรื่องนี้ไม่ได้ เพราะพี่เจมเองก็ยังหาทางออกจากความรู้สึกนี้ไม่ได้เช่นกัน
ก็ได้แต่หวังว่า กำลังใจจะคนรอบข้างจะส่งถึงพี่เจมหรือเหล่าคนที่เลือกจะแบกรับอะไรหนัก ๆ เอาไว้ เพราะบางครั้งซุปเปอร์แมน ไอร่อนแมน ก็ไม่ได้จำเป็นต้องบินขึ้นไปอยู่บนฟ้า สูง ๆ หนาว ๆ เหงา ๆ ตลอดก็ได้ ลองกรอเทปมาอยู่ในฉากที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ได้รับการโอบกอด ปรบมือโห่ร้อง รวมพลังกัน หรือฉากตลก ๆ ที่พระเอกโดนเพื่อนกวนตีน ช็อตฟีลดูบ้าง สู้ด้วยกัน suffer ด้วยกันบ้าง แล้วก็เอาชีวิตรอดผ่านมันไปด้วยกัน
จบคนละฟีลกะตอนเริ่มโคตร ๆ 5555+ อาจจะแปลกสักหน่อย แต่ดีกับใจอยู่นะ 🙂