ตรอมตมจมกับชีวาที่เคยชิน
เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด
เปลี่ยนดำให้เป็นขาว
เปลี่ยนขาวให้เป็นดำ
สังคมกำลังพัฒนา
แต่เรื่อยมา มีแค่ใจคนที่ต่ำลง
เป็นเช่นนั้นเสมอมา
ราตรีก่อนพระจันทร์เต็มดวง
กลางดึกเงียบสงัดไร้ผู้คน
เป็นเวลากว่าสามชั่วโมง
หลังข้ามผ่านพ้นวันใหม่
แสงจันทร์สาดส่องผ่านสายหมอกและไอเย็น
สายลมพัดพาความหนาวแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ลานกว้างใหญ่ เจดีย์มากมาย อุดมไปด้วยฝุ่นผงเถ้าธุลี
ทั้งสามตนอยู่ที่มุมหนึ่งริมกำแพงข้างต้นไม้ใหญ่
สามตนต่างล่องลอย เสียงใบไม้สั่นไหวตามแรงลม
บทสนทนาบนโลกกึ่งความเป็นและความตายได้เริ่มขึ้น
“ข้าจะเรียกพวกเจ้า ไอสอง กับ ไอสาม”
สงสัยใคร่รู้ เหตุอันใด ทำไมกันเล่า เจ้าพวกนี้ถึงได้ตาย
“ไอสอง ข้าอยากรู้ ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้”
แขนขวาขาดแม้จะสักทรงองค์นารายณ์
แขนซ้ายมีชาติราชสีห์
ขาขวาครึ่งตัวพยัคฆ์กี
ขาซ้ายไม่มี หมีมีกำลัง
แม้นไม่อยากตอบ แต่ก็อดใจที่จะเล่าไม่ได้
“กูโดนไอ้ช่างกลคู่อริไล่ฟัน มันดักรอตรงป้ายรถเมล์
พูดแล้วก็ขึ้น เล่นทีเผลอพวกหน้าตัวเมีย”
คิ้วขมวด ยังงุนงงในความสงสัย
จะตีรันฟันแทงกันทำไม คิดว่าเก่งคิดว่าเท่ กันมากหรือ
“เด็กแบบพวกเจ้า มีปัญหาใช้แต่กำลัง
ทำไมไม่ตั้งใจเรียนหนังสืออ่านหนังหา
เข้าโรงเรียนดีๆ ติดมหาลัย หน้าที่การงานจะได้ใหญ่โต”
อารมณ์พุ่งขึ้น ไอควันรอบๆทะลุปรอท
“แบบมึงจะเข้าใจได้ยังไง กูไม่มีโอกาส เกิดมาไม่ได้ร่ำไม่ได้รวย
โตมาในสลัม ปากกัด ตีนถีบ โดนเหยียด โดนหยาม ไปไหนก็จะรังแต่โดนเกลียด”
พูดไม่ทันจบความเศร้าก็เข้าแทรก
หยาดน้ำไหลรินจากเบ้าตา
“พ่อกูโดนคนใหญ่คนโต ทั้งโขกสับ ใส่ร้าย และ ไล่ออก”
ช่างน่าแปลกทุกตนเข้าใจ
ราวกับว่าคือเรื่องปกติในสังคม
หยดน้ำไหลอาบลงกระดูกที่ปูดออกจากแก้ม
“พ่อไม่บอกใคร สุดท้ายทิ้งกูกับแม่ แขวนคอลาไป
ไม่มีเงิน ไร้ทางเลือก กูต้องจำใจเรียนในเส้นทางนี้
เรียนไปทำงานไป งานขาว งานดำ งานเทา ไม่ทำก็อดตาย
ไม่เคยต่อยตี สุดท้ายตั้งใจแค่ไหน
กูกลับโดนฆ่าตาย เพราะเป็นคู่อริสถาบันพวกมัน”
สภาพสังคมอันเน่าเฟะ
มิได้เกิดจากผู้ใดผู้หนึ่ง
หากแต่เกิดจากโครงสร้างและคนเบื้องบนที่กำหนดมัน
“ป่านนี้แล้ว แม่กูจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ความเงียบเข้าปกคลุมบทสนทนา
ความอัดอั้นใจไหลออกมาเป็นชุด
“ข้าขอโทษ ชีวิตเจ้าข้าเข้าใจ
เสียใจด้วย ที่ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”
สีหน้าเบื่อหน่ายปนโล่งใจ
อยากสลัดความคิด ทิ้งไปให้ทันควัน
ได้โอกาส จึงถามกลับ อย่างไม่ลังเล
“ถามแต่คนอื่น กูถามมึงบ้าง ทำไมมึงถึงอยู่ในสภาพนี้?”
นึกย้อนแล้วเศร้าสร้อย
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
หากแต่ความตายมาจากความจริง
“ข้าโดนนายชั้นสูงสั่งเก็บ ตอนนั้นราวปีหนึ่งเจ็ด
พยายามทุกวิถีทาง ที่จะจับพวกมันเข้าตาราง
พวกมันค้ายา ข้านึกในใจยังไงมันก็ไม่รอด ข้าต้องเปิดเผยความจริง
แต่กลับไม่เป็นดั่งฝัน พ่อมันยศใหญ่เป็นนายพล
เพียงนัดเดียว กลับตาลปัตร
พวกมันรอด
ส่วนข้าไม่รอด”
คนดีไม่มีที่ยืน ไม่แม้แต่ที่ให้ยืนบนโลกใบนี้
ช่างน่าขันผ่านมากว่าห้าสิบปี
ไม่ว่ายุคสมัยใด
ดูเหมือนความยุติธรรม จะเป็นได้เพียง
ยุติความเป็นธรรม
“เรื่องพวกนี้ มีตั้งแต่ยุคมึงแล้วหรอ?
ตอนกูเรียน ไอพวกยศสูงจ้องใส่ร้าย ยัดคดีให้
จับแพะ ได้หน้า เพื่อนกูติดคุก ส่วนพวกมันได้ติดยศ”
ระบบที่คงเดิมจากอดีตสู่ปัจจุบัน
“ข้าต้องขอโทษที่รุ่นข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย”
ความจริงอันแสนโหดร้าย
“ช่างเถอะพูดไปก็เท่านั้น เรามันคนตายทำไรไม่ได้แล้วนี่หว่า
ได้แต่ฝากให้รุ่นหลังเปลี่ยนแปลงมันได้ ไม่กลัวพวกชั่วเหมือนกับมึง
สักวันมันจะเปลี่ยนไปในสักวัน”
หากปลายทางคือความฝัน
ความหวังจะส่องนำทางไป
ตลอดเส้นทางที่แสนมืดมน
“ว่าแต่…”
เหมือนมีความแปลกอยู่ข้างๆ
คุยกันมาเป็นชั่วยาม
อีกหนึ่งเสียงกลับไม่มี
“ว่าแต่มึงทำไมถึงตาย นิ่งเงียบเชียวไอหมอนี่”
“ใช่ เจ้าเป็นอะไรตาย ?
ไอสามทำไมเจ้าถึงนิ่งเงียบ
เหตุใดทำไมไม่ตอบมาสักที”
ทั้งตัวสั่น มีน้ำตา
ร่างกายอาบไปด้วยเหงื่อ
สีหน้าไม่ค่อยจะดี
สูบผอมและซีดเซียว
มีกรณีเดียว
จมน้ำตาย
แต่กลับเป็นเพียงความเข้าใจ
แบบผิดๆของคนตายทั้งสอง
ความกลัวทำแทบบ้า
แค่ลุกขึ้นยังไม่กล้า
รวบรวมความคิด พิชิตความกลัว ปลดปล่อยความกล้า
ปากสั่นๆ จึงอ้า ออกไปว่า
“ผะๆๆๆๆ….ผะ โผมมมม
.
ยังง..ไม่ตาย
.
แค่ๆๆๆๆๆ
มาาาาาา
ขะ ขะ อี้
ขี้”
จบเสียงทันใด
อนิจจังก้นจิ้มขี้
รีบบี้เข้าไปในกางเกง
กราบลาสองที
วิ่งกระเตง แล้วหนีออกไป
.
.
.
ปกปิดอย่างไรก็ไม่มิด
กลิ่นโชยรุนแรงน่าสะอิดสะเอียน
เต็มไปด้วยความสกปรกและโสโครก
นำพามาซึ่งความอับอายต่อสาธารณะชน
สังคมเหม็นเน่า
ยิ่งกว่าขี้เน่าๆในกางเกง


เขียนโดยEMAG
เจ้าของเพจรีวิวหนังสือ Ireadthisbook เจ้าของนามปากกา EMAG Gamekung G_812 ผมชอบกินเกาเหลา และอื่นๆอีกมากมาย