“ไม่รับเงินสด”

ข้อความตัวใหญ่เขียนเอาไว้หน้าที่ทำการไปรษณีย์ นั่นทำให้แบงก์ร้อยในกระเป๋าของผม 2 ใบ ไม่มีค่าอะไรเลย จากที่ผมตั้งใจจะส่งของให้เสร็จก่อน ผมเลยต้องแบกกล่องพัสดุพะรุงพะรังไปธนาคารด้วย

“สวัสดีครับ ทำรายการอะไรครับ”

“เอาเงินเข้าบัญชีครับ”

“50 ล้วนเลยใช่มั้ยครับ โห เงินเก็บหรอพี่” พนักงานธนาคารดูตื่นเต้นกับปึกแบงก์สีฟ้าของผม ราวกับไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน “สุดยอดอะ ผมเก็บไม่เคยได้เลย”

“เก็บตามแฟนเก่าน่ะครับ” ผมจินตนาการว่าตัวเองตอบออกไปแบบนั้น และมันคงจะกลายเป็นซีนเปิดแบบซึม ๆ ของหนังดราม่าอินดี้ ภาพสีหม่นโทนน้ำเงิน ใช้การทิ้งภาพให้ดูเหงา ๆ เกิดภาวะ Slow Burn ในใจของคนดู ผมหรือพนักงานคนนั้นอาจอยู่ในความนิ่งเงียบสักพัก แล้วพูดคำคมออกมา

แต่เนื่องจากนี่เป็นชีวิตจริง ผมเป็นอินโทรเวิร์ทที่ขี้เขินเกินกว่าจะพูดอะไรแบบนั้น แล้วพนักงานธนาคารก็คงไม่หยุดทำงานเพราะคำพูดพวกนี้หรอก “ครับ” คือสิ่งที่ออกจากปากผมไปในโลกความจริง ตามด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ที่พนักงานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ

อันที่จริงการเก็บแบงค์ 50 มันก็เป็นวิธีการออมเงินอย่างหนึ่งที่ไม่ได้แปลกขนาดนั้นหรอก ใครเขาก็ทำกัน ผมลองเสิร์ชในเน็ตก่อนหน้านี้ ยังเห็นมีพ่อค้าแม่ค้าบางคน เก็บแบงก์ 50 ตลอดทั้งปี เอาไปเข้าธนาคารทีได้ยอดเป็นแสนเลย เพราะงั้นถึงผมจะไม่ได้เป็นพ่อค้า แต่ก็เก็บมาตั้งแต่ตอนคบกับพิมช่วงแรก ๆ จนถึงตอนนี้ที่เลิกกันมาได้หลายปีแล้ว มันก็คงจะได้สัก..

“ปึกนี้ 3,200 บาทนะครับ” สั**เอ๊ย.. แค่เนี้ยะ

“แล้วก็ ที่เหลือตรงนี้นะครับพี่ 100.. 200.. 300.. 350.. รวมเป็น 3,550 บาทครับ พอดีไอ้แก๊งนี้มันเก่า เครื่องมันเลยไม่อ่าน” หลังจากรวมเงินที่ถูกนับจากเครื่อง และนับด้วยมือเรียบร้อย ผมก็กรอกเอกสารใบฝากเงิน ส่งสมุดบัญชีและบัตรประชาชนให้พนักงานทำรายการจนเสร็จ แล้วเดินออกจากธนาคาร แต่ในหัวยังอยู่กับบทสนทนาเมื่อครู่

ไม่รู้ว่าแบงก์ที่เก็บจนเก่า หรือนิสัยที่เพิ่งนึกได้ว่าติดมาจากคนที่หายจากชีวิตไปตั้งนานแล้ว แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ ในชีวิตวันนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เคยใช้ร่วมกับพิม ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจนึกถึงมานานพอตัว

ปีแรกที่เราเลิกกัน ตอนนั้นหน้าของเธอแทบจะเป็นวิญญาณตามติด สิงสถิตอยู่ในของทุกชิ้น ลอยอยู่ในทุกสถานที่ที่ไป ขนาดปิดไฟนอนยังหนีไม่พ้น เวลาขับรถ ทุกครั้งที่เหยียบเบรกผมก็จะนึกถึงเสียงที่เธอบ่นว่าผมขับรถไม่นิ่ม ชอบเบรกจนหัวทิ่มตลอด ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายไม่ชอบคาดเข็มขัด หรือตอนเดินห้างก็จะเผลอเลี้ยวเข้าไปดูแผนกของเล่นที่เราชอบไปยืนดูด้วยกันโดยอัตโนมัติ ผมต้องคอยห้ามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง จากการถามคำถามโง่ ๆ ถึงเธอ เวลาเจอเพื่อนที่เรามีร่วมกัน ส่วนเรื่องทักไปหาเจ้าตัวนี่ตัดไปได้เลย

แต่ทุกวันนี้ ผมก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับความสัมพันธ์ครั้งนั้นอีกต่อไป ผมแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเข้าไปส่องเฟซบุ๊กหรือไอจีเธอครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

คือถ้าจะบอกว่าครั้งนี้เป็นอีกครั้ง ที่ผมพยายามจะบอกลาส่วนหนึ่งในตัวผมที่มาจากเธอ มันก็คงจะดูเท่เหมือนไอ้พระเอกขี้แอ็คในหนังไปหน่อย อันที่จริงผมแค่ถังแตก ตกงาน ไม่มีจะกิน ติดหนี้ค่าข้าวเพื่อน ติดหนี้ค่า Youtube Premium ที่ตั้งจ่ายอัตโนมัติไว้ แต่ระบบตัดไม่ได้เพราะเหลือเงินในบัญชีอยู่แค่ 5.18 บาท

ใช่.. 5 บาท กับเลขทศนิยมขี้มดที่ปัดขึ้นไม่ได้

ฟังอาจจะฟังดูน่าสมเพชเสียจนคุณคิดว่าถ้านี่เป็นเรื่องแต่งทั่ว ๆ ไป คนเขียนก็คงจะไม่สมมุติตัวเลขที่น้อยขนาดนี้หรอก เพราะมันน่าจะดูไม่สมจริง คนทำงานบ้าอะไรจะใช้ชีวิตโดยมีเงินติดบัญชีแค่ 5 บาท แต่นั่นแหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจริง ๆ

นอกจากการขุดแบงก์ 50 ในเก๊ะหัวเตียงออกมาต่อชีวิตแล้ว ยังมีธุระอีกอย่างที่ติดค้างเอาไว้ตอนแรก คือผมกำลังแบกกล่องพัสดุ ที่บรรจุโมเดลเหล่าอเวนเจอร์ส รุ่นชุดตรงตามหนังภาคเอนด์เกม ซึ่งตามกฎหมายได้ผ่านการทำธุรกรรมทางการเงิน โอนกรรมสิทธิ์ให้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้วเรียบร้อย เตรียมนำส่งไปยังบ้านใหม่

ยอมรับอย่างไร้ศักดิ์ศรีตรงนี้เลยว่า การขายของสะสมสุดรักสุดหวง เคยเป็นสิ่งที่ผมพูดเอาไว้ว่าจะไม่มีวันทำเด็ดขาด แต่วันนี้ ชีวิตผมเดินมาถึงเอนด์เกมแล้วจริง ๆ

มองในแง่ดี อย่างน้อยเหตุการณ์วันนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณการตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ในอดีตของตัวเอง แล้วก็คงเป็นอีกครั้งที่นึกขอบคุณพิมด้วยเหมือนกัน แต่ยังไงก็ ขอพอกันทีกับการไล่เก็บแบงก์ 50 มาเกินครึ่งทศวรรษ ที่แม่งได้มาไม่ถึงครึ่งหมื่น หวังว่าผมจะไม่ต้องมานั่งลุ้นต่อลมหายใจด้วยเงินที่เก็บจนเครื่องนับธนบัตรอ่านไม่ได้แบบนี้อีกครั้ง แล้วผมก็คงจะไม่ต้องกลับมานึกถึงเธอจากเรื่องนี้อีกเช่นกัน

หลังเดินพ้นธนาคารมาได้ไม่ไกล ฝนก็ตกลงมา แหม่.. พอเป็นซีนนึกถึงแฟนเก่า กับชีวิตพัง ๆ พร้อมกล่องพัสดุที่ทำจากกระดาษหอบหิ้วเต็ม 2 มือ มันก็เลยต้องอึมครึม ต้องมีฝนตกอะไรแบบนี้หน่อยอะเนอะ อย่างกับมีคนปล่อยคิว

ผมเดินเข้าไปหลบฝนในร้านไก่ทอดแห่งหนึ่ง ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี

“ทั้งหมด 148 บาทค่ะ” พนักงานกล่าว ผมอยากหาอะไรที่ถูกกว่านี้กินอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก ในขณะที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อสแกนจ่าย “โอ้ คุณลูกค้าคะ พอดีว่า เครื่องสแกนจ่ายเสียน่ะค่ะ รับได้แต่เงินสด คุณลูกค้าสะดวกมั้ยคะ”

อืม.. พอพยายามแทบตายที่จะได้เงินเข้าบัญชี โลกก็จะหมุนร้านที่วันนี้รับแต่เงินสดมาเจอเราสินะ.. ผมเปิดกระเป๋าสตางค์ดู มีแบงก์ร้อยเหลืออยู่ 2 ใบ ผมเลยหยิบส่งให้ไป ก่อนที่พนักงานจะส่งเงินทอนกลับมาให้

เป็นเหรียญ 2 บาท 1 เหรียญ กับแบงก์ 50 บาท 1 ใบ

ผมได้แต่ขำในความตลกร้ายของชีวิตวันนี้ หลังจากส่งของเสร็จผมก็กลับบ้านพักผ่อน แต่ไม่ลืมที่จะเอาทุกเรื่องที่เจอกลับมาเขียนลงในไดอารี่เล่มโต มันเป็นสมุดไร้บรรทัดขนาดใหญ่ที่หนักเกินกว่าควรจะพกพาไปไหน แต่ผมก็ยังเอามันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยเป็นครั้งคราว จนเพื่อนหลายคนเอ่ยปากถามว่าจะแบกมาทำไม

ผมไม่เคยตอบอะไรจริงจัง แต่ก็คิดว่ามันก็คงเป็นแค่อีกความเคยชินนั่นแหละมั้ง

หลังจากที่ผมเขียนทุกความรู้สึก บันทึกช่วงเวลาที่นึกถึงพิม บันทึกไว้ว่าคงจะไม่นึกถึงพิมเวลาเห็นแบงก์ 50 แล้ว บันทึกไว้ว่าแบงก์ 50 ที่ได้มาก็คงจะไม่ตั้งใจเก็บสะสมมันอีกต่อไป แต่ก่อนจะปิดสมุดแล้วทิ้งตัวนอน ผมก็ตัดสินใจเปิดกลับไปยังหน้าแรกของสมุดไดอารี่ ที่ไม่รู้ว่าจงใจเปิดข้ามมาตลอดหลายปีหรือเปล่า หน้านั้นมีข้อความสั้น ๆ ลายมืออักษรตัวกลมหัวโตน่ารัก ตามสไตล์เด็กผู้หญิงวัยรุ่นยุค Y2K

“เขียนจนกว่าจะเต็มเล่มเลยนะ แล้วพิมจะมาตรวจ แบร่ :P”