อย่างอื่นเลยต้องขอกล่าวขออภัยก่อนที่มาช้า
ความจริงกะว่าจะเขียนเรื่องนี้เสร็จตั้งแต่ทำเรื่องย้ายเรียนเสร็จ แต่ดันเข้าเป็นช่วงสอบพอดีเลยต้องเลทมานิดหน่อย ขออภัยด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ เราชื่ออิง
ความจริงเราเคยเขียนเรื่องนึงแล้ว คือเรื่องการเจอกับพี่เจมส์ครั้งแรก ซึ่งนี่อาจจะถือว่าเป็นภาคต่อของการเจอกับพี่เจมส์เลยก็ได้ค่ะ

ตอนที่เราเจอกับพี่เจมส์ครั้งนั้น มีคำนึงที่พี่เจมส์พูดกับเราไว้ว่าชีวิตเราจะเปลี่ยนไปแน่นอนหลังจากเจอพี่ และใช่ค่ะ วันนั้นก็มาถึง ชีวิตเราเปลี่ยนไปจริง ๆ

ครั้งนั้นเราจำได้ว่าเราซื้อหนังสือทุกเล่มในบูธของพี่เจมส์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ James is Black หนังสือที่เราเชื่อว่าอาจจะเปลี่ยนชีวิตหลายคน และเราก็คือหนึ่งในนั้น

แต่ต้องขอย้อนความการเปลี่ยนแปลงก่อนนะคะ…

ช่วงนั้นที่เราเจอกับพี่เจมส์ เป็นช่วงที่เราลังเลอยู่ว่าเราควรเข้าเรียนในโครงการนานาชาติดีไหม เพราะนั่นเป็นช่วงปิดเทอม แต่สุดท้ายเราก็วนกลับไปโครงการวิทย์-คณิตที่เราอยู่มาตั้งแต่สมัยม.ต้น
“ด้วยคำพูดคลาสสิคจากคนรอบข้างที่ว่า หางานง่ายกว่า 55555”

ซึ่งใช่ค่ะ เราก็ได้กลับเข้าไป และวันเปิดเทอมก็มาถึง เราเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างเรียนดีมาตั้งแต่ม.ต้นค่ะ เลยทำให้เพื่อน ๆ และคุณครูคิดว่าเราคงอาจจะสามารถต่อยอดด้านวิทย์-คณิตได้ไปจนถึงม.6 หรือระดับชั้นปริญญา

แต่แน่นอนค่ะ ว่าคนที่มีความลังเลในจิตใจตลอดคงหนีไม่พ้นเรา
เรานั่งคิดทบทวนอยู่เสมอว่า ถึงแม้เราจะสามารถไปต่อได้ในด้านวิทย์-คณิต
แต่ทำไมเราดันยังไม่สามารถลืมความอยากเรียนในด้านภาษาของเราได้
คิดไปคิดมาตลอดในช่วงเวลาการเรียนโครงการวิทย์-คณิต

ในช่วงนั้น เรารู้จักคน ๆ นึงค่ะชื่อพี่ริว
(ถ้าถามว่าพี่ริวคือใคร พี่ริวคือคนคนนึงในกลุ่มสมาชิกชูโล่ค่ะ ความจริงทุกคนน่าจะได้รู้เรื่องราวของเรากับพี่ริวจากเรื่องก่อนหน้านี้ คือเรื่องกาญจนบุรี
แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็โดนอัพก่อนเรื่องกาญจนบุรีเลยทำให้คนอาจไม่ทราบความสัมพันธ์เรากับพี่ริวสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าคือพี่ชายคนนึงค่ะ)

หลังจากที่เรากลับมาจากกาญจนบุรี เราก็ได้ปรึกษาเรื่องการเรียนกับพี่ริวตลอด
ฉันอยู่มาวันนึง การปรึกษามันเริ่มเกิดการบานปลายไปจนถึงขั้นที่พวกเราทะเลาะกัน
แต่ด้วยความที่พี่ริวเป็นคนมีวุฒิภาวะมากพอเลยไม่ได้เลือกที่จะตอบกลับทางด้านอารมณ์
แต่เลือกที่จะแนะนำหนังสือให้ พี่ริวถามแค่ว่า
“อิงได้ซื้อ James is Black มาหรือเปล่า ถ้าซื้อมาก็ไปอ่านซะ”
หรือว่าง่าย ๆ ก็คือไล่ให้ไปอ่านนั่นแหละค่ะ 555555
วันนั้นแชทระหว่างอิงกับพี่ริวจะถูกตัดจบไปเพียงเท่านี้

ในความคิดของพี่ริวคงคิดว่า เด็กคนนี้จะสามารถที่จะเข้าใจชีวิตด้านการเรียนได้ผ่าน James is Back
แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงสำหรับพี่ริว

ใช่ค่ะ…
“อิงตัดสินใจลาออกหลังจากได้อ่านจบ”

ตอนนั้นถือเป็นความตกใจใหญ่ของทั้งอาจารย์และเพื่อน เพราะแน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าอิงจะลาออก
แต่คนที่ใจเด็ดกว่าอิงคงเป็นของแม่อิงมั้งคะ
อิงตัดสินใจเล่าเรื่องให้แม่ฟังในวันศุกร์ตอนเย็น
และในเช้าวันจันทร์ แม่อิงก็ไปทำเรื่องลาออกให้ ทั้ง ๆ ที่คุณแม่ติดธุระด้วยซ้ำ

แม่อิงไม่เคยตั้งคำถามว่าลาออกทำไม
แม่อิงรู้แค่ว่าในเมื่อลูกตัดสินใจแล้ว แม่ก็จะเคารพการตัดสินใจของลูก

หลังจากทำเรื่องลาออก ในตอนเย็นวันนั้น บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบ
ที่ไม่ได้มาจากความโกรธหรืออะไร แต่เป็นที่อิงเองที่กลับรู้สึกลังเล
แต่แม่กลับพูดแค่ว่า
“หิวไหมลูก ไปกินข้าวกัน”
วินาทีนั้นทำให้อิงแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ในตอนนั้นอิงรู้สึกขอบคุณทั้งพี่เจมส์ พี่ริว คุณแม่
และอีกหลาย ๆ คนที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้กล้าก้าวเท้าออกจากเซฟโซน

ความจริงก่อนหน้านี้ สาเหตุที่อิงยังลังเลในการก้าวเท้าออกมา คือคำพูดที่ว่า
“ชีวิตมึงดีได้ก็เพราะแค่ว่ามึงอยู่ในเซฟโซนไง”

แต่วันนี้อิงอยากจะขอก้าวผ่านจุดนั้น
อิงเชื่อว่าชีวิตอิงจะดีได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
แม้ในช่วงแรกการเข้ามาเรียนอาจจะทุลักทุเลหน่อย ที่ต้องเปลี่ยนสังคมใหม่ บทเรียนใหม่ ครูใหม่ เพื่อนใหม่ หลักสูตรที่เราอาจจะไม่คุ้นเคย
แต่นั่นเป็นสิ่งที่อิงได้รับจากการอ่านหนังสือ James is Black
เมื่อไหร่ที่เราก้าวออกมาจาก Safe Zone เราก็จะแข็งแกร่งขึ้น
จนตัวเราในวันที่กลัวการก้าวออกมาอาจคาดไม่ถึงเลยก็ได้


สิ่งที่อิงอยากบอกเกี่ยวกับหนังสือ James is Black

ความจริงในบทความข้างต้นอาจจะมีการกล่าวถึงหนังสือค่อนข้างน้อย 555555
แต่ข้อความข้างต้นจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าอิงไม่ได้แรงผลักดันในการตัดสินใจจากหนังสือ James is Back
ถึงแม้ว่าอิงจะได้ลองอ่านหนังสือจากการโดนไล่มา แต่อิงอยากจะบอกว่าอิงตั้งใจอ่านมาก

รู้สึกได้ถึงพลังความเปลี่ยนแปลงจากการกลับมา
เมื่อเราได้ก้าวผ่านเซฟโซนของตัวเองมา

อยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองอ่าน
เชื่อว่าอาจจะไม่ได้ใช่ทุกคนที่จะอ่านแล้วเปลี่ยนเหมือนอิง
แต่เราเชื่อว่าจะมีข้อคิดในแง่มุมหนึ่งของคนที่ได้อ่าน
ที่จะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดจากกรอบความคิด
และเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นในการตัดสินใจ
การลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตที่คุณอาจไม่คาดคิด


ข้อความสุดท้ายที่อิงอยากบอก

ความจริงก่อนที่อิงจะย้ายเข้ามาในโครงการนานาชาติ
อิงก็โดนคำว่ากล่าวนินทามาเยอะมาก
จนทำให้อิงไม่กล้าย้ายออกมา

แต่สุดท้ายถ้าเราเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ
อยากให้ทุกคนเชื่อในตัวเอง ว่าจงเลือกสิ่งที่เรามีความสุขเถอะค่ะ

การก้าวออกมาจากเซฟโซนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด
แน่นอนว่ามันมีความผิดหวัง มันมีทั้งสิ่งที่เราต้องรับจากสิ่งที่เราเกลียด
การรู้สึกแปลกแยก รู้สึกโดดเดี่ยว แต่นั่นแค่จุดเริ่มต้นค่ะ

อิงเชื่อว่า ปลายทางเมื่อเราได้ก้าวผ่านความกลัวมาแล้ว
มันจะให้เรารู้สึกเข้มแข็งในวันที่เรามองกลับมาในวันที่เราตัดสินใจที่จะเดินออกมา

หวังว่าเรื่องราวของอิงจะเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวออกจากเซฟโซนของทุกคนนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ